สถาบันพระปกเกล้า เปิดผลประเมินรัฐสภา พบ “สำนึกรับผิดชอบ” ต่ำสุด 2.3 คะแนน
“ผลการประเมินการดำเนินงานรัฐสภาไทย” ตามเกณฑ์ IPU และประชาชน พบการทำหน้าที่นิติบัญญัติ-ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ดี 63% เชื่อมั่นการทำงาน 'อภิสิทธิ์' บ่งชี้อีสาน-ใต้ให้คะแนนรัฐสภาสูงสุด ส่วนภาคเหนือให้คะแนนต่ำสุด
วันที่ 1 กันยายน สถาบันพระปกเกล้า โดยการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง แถลงข่าว ผลการศึกษาวิจัย เรื่อง ผลการประเมินการดำเนินงานของรัฐสภาไทย ณ ห้องแถลงข่าวรัฐสภา อาคารรัฐสภา 1 โดยมี ดร.ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ รองประธานสภาพัฒนาการเมือง และดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาสถาบันพระปกเกล้าและหัวหน้าโครงการฯ ร่วมแถลง
ดร.ลัดดาวัลย์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการจัดทำเกณฑ์การประเมินรัฐสภาอย่างเป็นทางการ ทำให้ขาดตัวชี้วัดการประเมินผล ทางสถาบันพระปกเกล้าและสภาพัฒนาการเมืองจึงได้จัดทำโครงการวิจัย สถาบันการเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตย : ศึกษากรณีการดำเนินงานของรัฐสภาตามเกณฑ์และตัวชี้วัดของสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union หรือ IPU) เรื่อ ผลการประเมินการดำเนินงานของรัฐสภาไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิบัติตามเกณฑ์ และทำการทดสอบโดยการประเมินจริง
“การประเมินรัฐสภา มีทั้งการประเมินตนเองและประเมินโดยภาคประชาชน ซึ่งอย่างหลังเป็นการประเมินที่สำคัญในการช่วยสอดส่องการทำงาน และสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน นับว่า เป็นครั้งแรกที่มีการประเมินอย่างเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งมีข้อเสนอแนะทั้งด้านนโยบายและปฏิบัติ ก็หวังว่าการประเมินในลักษณะนี้จะใช้ได้กับรัฐสภาชุดต่อๆ ไป เพื่อยกระดับการทำงานของรัฐสภาไทยให้เป็นที่ยอมรับ และเป็นตัวแทนของประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง”
ขณะที่ดร.ถวิลวดี กล่าวถึงผลการประเมินการดำเนินงานของรัฐสภาไทยในครั้งนี้ เป็นผลที่ได้จากการนำตัวชี้วัดประสิทธิผลและประสิทธิภาพการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาไทยที่สถาบันพระปกเกล้าพัฒนาขึ้นไปใช้ทดลองประเมินจริงกับทุกภาคส่วนทั่วประเทศ โดยทำการประเมินกับ ส.ส.ชุดที่ผ่านมา (ชุดที่ 23) ส.ว.สรรหาชุดที่ผ่านมา ส.ว.เลือกตั้งชุดปัจจุบัน และข้าราชการรัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ในสมัยการดำรงตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภาชุดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประเมิน ซึ่งผลการประเมินแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1.ผลการประเมินรัฐสภาตามเกณฑ์ของสหภาพรัฐสภา (IPU) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามระหว่างวันที่ 19 ม.ค. – 10 พ.ค. 2554 กลุ่มผู้ประเมิน ได้แก่ ผู้แทนภาคส่วนต่างๆ ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบรัฐสภาไทยใน 9 จังหวัดทุกภูมิภาค เอ็นจีโอ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สื่อสารมวลชน นักวิชาการ องค์กรอิสระ อปท. ข้าราชการระดับสูง ข้าราชการรัฐสภาและนักการเมือง มีองค์ประกอบในการประเมินรัฐสภา 6 ด้าน คือ 1.การเป็นตัวแทนของประชาชน 2.การตรวจสอบฝ่ายบริหาร 3.การทำหน้าที่นิติบัญญัติ 4.ความโปร่งใสและการเข้าถึงได้ 5.ความสำนึกรับผิดชอบ และ 6.การมีส่วนร่วมในนโยบายระหว่างประเทศ
“ด้านที่ได้คะแนนสูงสุด เฉลี่ย 2.8 คะแนน เท่ากัน คือ “ด้านการทำหน้าที่นิติบัญญัติและด้านการตรวจสอบฝ่ายบริหาร” ซึ่งเป็นหน้าที่หลักอันสำคัญของรัฐสภา นับว่าจัดอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างสูง ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำที่สุด คือ “ด้านสำนึกความรับผิดชอบ” เฉลี่ย 2.3 คะแนน และพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ให้คะแนนรัฐสภาสูงที่สุด 2.7 คะแนน ส่วนภาคเหนือให้คะแนนต่ำที่สุดเพียง 2.3 คะแนน”
2.ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อการทำหน้าที่ของรัฐสภา ได้ร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติทำแบบสำรวจทัศนคติประชาชนเพื่อศึกษาผลการทำงานของรัฐสภาในสายตาประชาชน สำรวจทัศนคติกลุ่มตัวอย่างผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 5,130 คน ตั้งแต่วันที่ 1-15 ม.ค. 2554 พบว่า ความไว้วางใจในการปฏิบัติงานของรัฐสภา ได้ระดับปานกลาง เฉลี่ย 5.99 คะแนน (เต็ม 10 คะแนน) และพบว่า ประชาชนทุกภาคมีความไว้วางใจต่อ ส.ส. สูงกว่า ส.ว. ยกเว้นประชาชนในกรุงเทพมหานคร
“ทั้งนี้ ประชาชนร้อยละ 63.0 เชื่อมั่นและค่อนข้างเชื่อมั่นต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) รองลงมาประชาชนร้อยละ 55.5 เชื่อมั่นต่อรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 52.6 เชื่อมั่นต่อ ส.ส. ร้อยละ 50.9 เชื่อมั่นต่อ ส.ว. และร้อยละ 48.3 เชื่อมั่นต่อพรรคการเมือง อาจสรุปได้ว่า ประชาชนเกินครึ่งเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของรัฐสภาในภาพรวมยกเว้นประเด็นพรรคการเมือง”
ดร.ถวิลวดี กล่าวถึงข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานของรัฐสภาไทยด้วยว่า พรรคการเมืองควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำหน้าที่ ส.ส. ทางรัฐสภาควรมีนโยบายจัดทำสถานีวิทยุโทรทัศน์รัฐสภาให้เป็นฟรีทีวีที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ทั้งนี้ ควรกำหนดให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต่อสาธารณชนเช่นเดียวกับรัฐมนตรี และเผยแพร่ข้อมูลการพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐสภาและการทำหน้าที่ของรัฐสภาในนโยบายระหว่างประเทศสู่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ควรจัดให้มีสำนักงานรัฐสภาประจำจังหวัดเพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
“จากการรับฟังความเห็นประชาชนพบว่า อยากให้มีจัดตั้งสำนักงานรัฐสภาประจำจังหวัด เนื่องด้วยประชาชนไม่เคยได้มีส่วนร่วมกับรัฐสภา ส.ส. ก็ให้ความสำคัญแต่ประชาชนในเขตพื้นที่ที่ตนเองได้รับเลือกมา แต่ไม่ได้มีสำนึกรับผิดชอบเพื่อส่วนรวม” ดร.ถวิลวดี กล่าว และว่า ในวันที่ 7 กันยายน จะนำเสนอผลการประเมินต่อผู้คุณวุฒิ ส.ส. - ส.ว. เพื่อรับฟังความเห็นเพิ่มเติม หลังจากนั้นจะรวบรวมผลการศึกษาส่งมอบให้รัฐสภา และส่งตรงถึง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาโดยตรง