ปธ.ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์หวั่นแก้พ.ร.บ.คอมฯ จำกัดเสรีภาพมากขึ้น แนะปรับการบังคับใช้
"ปธ.ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์" ชี้ การบังคับใช้ พ.ร.บ.คอมฯ มีปัญหา เหตุเจ้าหน้าที่รัฐขาดความเข้าใจ ทำให้การปฏิบัติผิดเพี้ยน ย้ำ หาก พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับเก่าไม่เลวร้ายก็สามารถใช้ต่อไปได้ หวั่น กฎหมายใหม่แย่กว่าเดิม
วันที่ 21 กันยายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สนับสนุนโดยแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี จัดการประชุมระดมสมองเรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” ภายใต้โครงการวิจัย “การปรับปรุงกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน” ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) โดยในช่วงแรก นางสาวสาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอ “บทวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ....” ซึ่งเป็นร่างฉบับที่เผยแพร่ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา โดยวิเคราะห์ถึงความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 ใน 2 ส่วนด้วยคือ สาระที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติม และบทบัญญัติที่เพิ่มเติมใหม่
จากนั้นมีการเสวนาและแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” โดยนายวันฉัตร ผดุงรัตน์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเว็บไซต์ ‘พันทิปดอทคอม’ กล่าวว่า แม้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 จะมีปัญหา แต่ในบ้านเราปัญหาที่แท้จริงน่าจะอยู่ที่กระบวนการยุติธรรมมากกว่า ดังนั้น เราจึงต้องพยายามสร้างความสมดุลระหว่างกฎหมายกับกระบวนการยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันเว็บไซต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของประเทศใดประเทศเดียว แต่เว็บไซต์เป็นสังคมโลก การใช้กติกาที่ต่างกันก็ย่อมมีผลต่อการเป็น ‘อันดับหนึ่ง’
“พ.ร.บ.คอมฯ ของประเทศไทยนั้นโคลนนิ่งจากประเทศแถบยุโรป (อียู) มากถึง 80% แต่หากไปดูเว็บไซต์ทั่วโลกที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ล้วนเกิดขึ้นในประเทศอเมริกาทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนว่า อเมริกามีวิธีการรักษาสมดุลที่เอื้อต่อธุรกิจมากกว่า ดังนั้น การที่เราเลือกนำรูปแบบจากอียูมาใช้จึงเหมือนกับการแทงม้าผิดตัว”
นายวันฉัตร กล่าวถึงความรับผิดชอบของ ‘ผู้ให้บริการ’ ว่า ที่ผ่านมาในทางปฏิบัติมักพบว่าการโพสต์ข้อความที่หมิ่นประมาทต่างๆนั้น ปัญหาจะตกมาอยู่ที่เจ้าของบริษัทตลอดเวลา แต่ความจริงแล้ว ข้อความใดที่ไม่เหมาะสมผู้ดูแลเว็บไซต์ก็สามารถลบด้วยตนเองได้ หรือหากไม่ดำเนินการเจ้าของเซริ์ฟเวอร์ก็สามารถดำเนินการได้เช่นกัน ฉะนั้น ควรมีการจัดระดับผู้ให้บริการ โดยกำหนดให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ใช้บริการมากที่สุดเป็นผู้รับผิดชอบก่อน
ขณะที่ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และประธานชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวถึง พ.ร.บ.คอมฯ กับการทำงานของสื่อมวลชนว่า การบังคับใช้ พ.ร.บ.คอมฯ มีปัญหาสำคัญมาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐขาดความเข้าใจและการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นไปในลักษณะ ‘สุกเอาเผากิน’ ทำให้การปฏิบัติผิดเพี้ยนไป ขณะเดียวกันการที่เจ้าของเว็บไซต์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อเว็บบอร์ดนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะเว็บบอร์ดเป็นพื้นที่สำหรับแสดงความคิดเห็นของกลุ่มคนต่างๆ เพียงแต่จะต้องมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้เวลากับผู้ดูแลระบบสามารถเข้าไปดำเนินการได้
“นอกจากนี้ ประเด็นที่เป็นปัญหามากคือ การปิดเว็บไซต์ ซึ่งที่ผ่านมา นโยบายของรัฐบาลมองว่าการปิดเว็บไซต์มากๆ เป็นผลงาน แต่หากไปดูกันจริงๆ แล้วจะพบว่า มีผู้กระทำเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ซึ่งพอถูกปิด ก็ไปเปิดใหม่ แต่การปิดเว็บไซต์ดังกล่าวกลับการทำลายภาพลักษณ์เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอาย”นายชวรงค์ กล่าว และว่า ทั้งนี้ การปิดเว็บไซต์ใดๆ นั้น ควรมีบุคคลภายนอกเข้าไปร่วมตรวจสอบ เพื่อป้องกันการปิดตามอำเภอใจ แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับไม่ได้รับการสนองตอบ
นายชวรงค์ กล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติมว่า จะต้องมีกระบวนการที่ดี สามารถตรวจสอบได้ เพราะดูจากร่างใหม่ก็มีส่วนที่แย่กว่าเดิมในหลายเรื่อง อีกทั้งยังมีลักษณะของการควบคุมมากกว่าสร้างสมดุลในการให้สิทธิเสรีภาพ รวมถึงการแสดงความคิดเห็น ส่วนในเรื่องความผิดด้านเนื้อหานั้น หากจะยังคงไว้ก็จะต้องมีการระบุถึงองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่นทางกฎหมาย โดยเฉพาะในคดีหมิ่นประมาท ในทางกลับกัน หากไม่มีความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาต่อไป ก็จะต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อสืบหาผู้กระทำความผิด ทั้งข้อมูล หลักฐานต่างๆ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการย่ามใจ ใช้เทคโนโลยีในการกล่าวหาหรือให้ร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจ
อย่างไรก็ตาม นายชวรงค์ กล่าวว่า หาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่มีอยู่ไม่เลวร้ายนักก็สามารถใช้ต่อไปได้ เพียงแต่ต้องไปแก้ไขในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เพราะจากประสบการณ์พบว่า กระบวนการบัญญัติกฎหมายในบ้านเรามีปัญหาอย่างมาก หากไปแก้ไขกฎหมายอาจต้องใช้เวลานาน อีกทั้งกฎหมายใหม่อาจจะแย่กว่าของเดิมก็เป็นได้
นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวถึงกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลว่า หากการกระทำผิดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาธารณะ การกำหนดบทลงโทษทางอาญานั้นยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่สำหรับการกระทำความผิดต่อบุคคล ซึ่งคู่กรณีสามารถยอมความกันได้นั้น กฎหมายควรปรับบทโทษลงให้เป็นทางแพ่ง เพราะขณะนี้เทรนด์ทั่วโลกเริ่มปรับบทลงโทษให้เป็นแพ่งมากกว่าทางอาญาทั้งนั้น
ขณะที่สัดส่วนคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับสิทธิด้านข้อมูลข่าวสารนั้น นายอาทิตย์ กล่าวว่า หากพิจารณาสัดส่วนคณะกรรมการในร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2554 จะพบว่า มีสัดส่วนของคณะกรรมการที่มาจากภาครัฐ โดยเฉพาะฝ่ายควบคุมปราบปรามมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการจากภาคเอกชนกลับไม่มีเลย ดังนั้น สัดส่วนดังกล่าวจึงเป็นข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่ง
ด้าน นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงการร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ว่า มีแรงกดดัน ทั้งจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายวัฒนธรรม เพื่อให้มีการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ตนก็ต้องการให้กฎหมายฉบับดังกล่าวเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย อยากให้เป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ กลไกการร่างกฎหมายที่ผ่านมา ก็มีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งที่เห็นด้วยและคัดค้าน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย