ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เปิดบริบท 'ยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน'
พริสซิลล่า เฮย์เนอร์ แนะยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน จะช่วยให้สังคมไปสู่สันติภาพ พร้อมแนะ คอป. ต้องสร้างความสมดุลในการค้นหาความจริง --ความปรองดอง ด้านกิตติพงษ์ เผย เร่งเยียวยาทุกฝ่าย เพื่อยุติความคับแค้น
วันที่ 23 กันยายน คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) จัดสัมมนา เรื่องบทบาทของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง (คอป.) กับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพฯ โดยมี ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธาน คอป. นางสาวพริสซิลล่า เฮย์เนอร์ (Ms. Priscilla Hayner) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง (Truth Commissions) และความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) และ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ กรรมการ คอป. และประธานอนุกรรมการด้านยุทธศาสตร์เพื่อการปรองดอง ร่วมสัมมนา
นางสาวพริสซิลล่า กล่าวถึงความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านว่า เป็นหลักความยุติธรรมในระยะที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบและร้ายแรง โดยพยายามทำความเข้าใจผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และการส่งเสริมกลไกและความเป็นไปได้ที่จะนำพาสังคมไปสู่สันติภาพ เพื่อให้สังคมได้เดินหน้าต่อไปและไม่ให้ความรุนแรงย้อนกลับมา
“บริบทของคำว่า ยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับประเทศไทย ที่ยังไม่มีความคุ้นเคยในเรื่องนี้ เนื่องจาก ประเทศส่วนใหญ่ที่มีการใช้ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านจะเป็นประเทศที่เกิดสงครามทางการเมือง ซึ่งจะมีความแตกต่างจากประเทศไทย ฉะนั้นจึงต้องประยุกต์ใช้ประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ให้เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด”
นอกจากนี้ นางสาวพริสซิลล่า ได้ยกตัวอย่าง ของ คอป. ในประเทศต่างๆ ที่เคยเข้าไปมีส่วนร่วม อย่างเช่นใน แอฟริกาใต้ ว่า คอป. ในแอฟริกาใต้เป็น คอป. ที่มีชื่อเสียงในกรณีของการเหยียดผิว ซึ่งมีการรายงานในระดับสากล เนื่องจากเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ และมีการชักจูงให้ผู้ที่กระทำความผิดได้เข้ามาเพื่อเปิดเผยความจริง
“คนเหล่านั้นเป็นทั้งผู้ที่กระทำความผิด หรือเป็นพยานในเหตุการณ์ ซึ่งคนเหล่านั้นกล้าที่จะมาเปิดเผยความจริง เพราะมีความมั่นใจว่า คณะกรรมการที่มารับฟัง จะมีอำนาจทางกฎหมาย และสามารถให้อภัยโทษได้”
สำหรับ คอป.ในประเทศไทยนั้น นางสาวพริสซิลล่า กล่าวว่า มีบุคลากรน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งหากต้องการความสำเร็จ จำเป็นที่ต้องมีทีมที่เข็มแข็งในการไปพูดคุยกับคนทั่วประเทศในการรับฟัง โดยหน้าที่หลักของ คอป. คือการสอบสวนและค้นหาความจริง โดยต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากคนเป็นจำนวนมาก ต้องมีการสอบถ้อยคำต่างๆ ทั่วทั้งประเทศ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา โดยอาจมีประชาชนที่อยู่ในสถานการณ์ หรือเห็นเหตุการณ์ หรือเป็นญาติของผู้ที่ได้รับความเสียหาย เข้ามาพูดคุย และให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ทั้งนี้ อาจจะเป็นในรูปแบบของการทำประชาพิจารณ์เพื่อให้ได้ความรู้ที่เป็นองค์รวม
“ถ้อยคำจากการรับฟัง จะนำไปสู่การขยายเรื่องสำหรับการสอบสวน ซึ่งนอกจากการรับฟังแล้ว ยังต้องมีความพยายามที่จะรับเอาเอกสาร หลักฐาน เพื่อพิจารณาดูว่าอะไรเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งนี้ คอป. ไม่ควรมุ่งเน้นในเรื่องค้นหาความจริง หรือการปรองดองเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรมีความสมดุล ต้องมีการค้นหาความจริงอย่างเหมาะสม และเป็นธรรม ขณะเดียวกันก็ต้องนำไปสู่การปรองดองด้วย” นางสาวพริสซิลล่า กล่าว และว่า หลักเกณฑ์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นทางการเมือง สำหรับประเทศไทยนั่นถือว่าโชคดี ที่รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการทำงานของ คอป. และเคารพความเป็นอิสระในการทำงาน โดยบทสรุปในการค้นหาความจริง จึงต้องไม่ถูกแทรกแซงจากการทางการเมือง แต่เป็นการมีส่วนร่วมจากทุกหน่วยงานและภาคส่วน
“ปัจจัยความสำเร็จ ไม่ใช่หน้าที่ของ คอป.อย่างเดียว แต่เป็นหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชน ซึ่งการที่มีสังคมคอยเตือนระวัง และเฝ้าดูการทำงานของ คอป. เป็นเรื่องที่ดี การที่มีบุคคลจากภายนอกเข้ามามีส่วนร่วม จะทำให้เกิดความสำเร็จได้ง่ายขึ้น”
สำหรับในเรื่องของการชดใช้ และฟื้นฟู นางพริสซิลล่า กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน ต้องพิจารณาว่าใครได้รับประโยชน์ รวมถึงจำนวนเงินในการชดใช้ด้วย ซึ่งบางกรณีก็ไม่สามารถที่จะประมาณการได้ เช่น ในกรณีที่มีคนตาย ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การเพิ่มความขัดแย้งได้ นอกจากนี้ยังห่วงในเรื่องของความเสี่ยงในการเผยแพร่ความจริง ออกเป็นส่วนๆ โดยเสนอแนะให้ทาง คอป. เก็บความจริงไว้ก่อน และรอคอยรายงานในช่วงสุดท้าย
ด้านนายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะมีกรอบที่กว้างกว่าความยุติธรรมทางอาญา เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยากหากมองในความเป็นจริงที่ว่า มีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากเรื่องทางการเมือง และนำไปสู่การสูญเสียขนาดใหญ่ มีผู้กระทำความผิด และผู้ที่เป็นเหยื่อ มากมาย และผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิดบางช่วงเวลา และเป็นเหยื่อบางช่วงเวลา เมื่อเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น การที่จะนำเอาความยุติธรรมทางอาญาตามปกติ ที่อยู่บนพื้นที่ฐานที่ว่า การลงโทษจะทำให้คนไม่กระทำความผิดซ้ำอาจจะนำมาใช้กับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ เนื่องจากจะมีคำถามถึงความเป็นธรรมในการลงโทษ และการตัดสิน
“แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปควรจะทำอย่างไร แต่ก็ต้องถอยมาดูว่าเครื่องมือที่มีอยู่ ซึ่งก็คือ ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน ที่จะนำมาเสริมกับระบบยุติธรรมทางอาญาเพื่อให้มีมาตรการมากขึ้น ในแนวคิดของการฟ้องคดี การเยียวยา การค้นหาสาเหตุของปัญหา และการปฏิรูปเพื่อให้เราก้าวข้ามเหตุการณ์ไปได้”
ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ในเดือน มกราคม จะมีการประชุมกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 4 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทยแบบเต็มคณะ และต่อจากนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญในระดับโลกมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าทิศทางที่กำลังดำเนินการนี้ เป็นไปตามหลักสากล และเพื่อมั่นใจว่า ประสบการณ์จากประเทศต่างๆ จะทำให้สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้
กรรมการ คอป. กล่าวด้วยว่า เรื่องการเยียวยามีความก้าวหน้าไปมาก พร้อมมองว่าสิ่งที่ทำได้เร็วที่สุดคือการเยียวยาทุกฝ่าย เพื่อยุติความคับแค้น โดยไม่มองว่าใครผิดหรือถูก เพราะมีส่วนผิดและถูกด้วยกันทั้งสองฝ่าย และในส่วนของงบประมาณและการสนับสนุน หากมีความเหมาะสมก็จะมีการเสนอต่อรัฐบาลอย่างเป็นทางการ เพื่อพูดคุยถึงความต้องการของทาง คอป. ต่อไป