เตรียมพร้อมสู่อาเซียน "เลขาฯ สพฐ." แนะรู้เขา รู้เรา หวั่นไทยเป็นประเทศว้าเหว่
"รศ.ดร.สมพงษ์" ชี้ อาเซียนต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ แนะ ประเทศไทยชำระประวัติศาสตร์ ลบอคติ-อาการคลั่งชาติ เพื่อก้าวสู่ประชาคมแห่งสันติ
วันที่ 28 กันยายน หนังสือพิมพ์มติชน กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ มูลนิธิบรรจง พงศ์ศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดเสวนาเรื่อง “ทิศทางการศึกษาไทยกับความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน” ณ อาคารวชิรานุสรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเสวนา
ดร.ชินภัทร กล่าวถึงความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนว่า เราจะต้องมีความรู้ ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศอาเซียน แต่ดูเหมือนกับว่าขณะนี้เรายังติดอยู่กับเปลือกนอก ทำให้ไปไม่ถึงแก่นที่จะเป็นสาระประโยชน์ในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งการเป็นประชาคมนั้นไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรมเท่านั้น แต่จะต้องคิดในเชิงรุก เพื่อก่อให้เกิดคุณภาพต่อชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศไทย
“เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องกำแพงภาษี การเคลื่อนย้ายทุน กำลังแรงงาน ซึ่งหากเราไม่จินตนาการถึงการหลั่งไหลดังกล่าว จะเกิดผลกระทบสูงมาก ขณะเดียวกันหากลองสมมุติว่า มีการรวมตัวกันอาเซียนแล้ว อาจพบว่า มีเพียงบางประเทศเท่านั้น ที่มีความพร้อมและกระตือรือร้นในการเป็นผู้นำ เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีความได้เปรียบทางภาษา การคิดการแสดงออก ขณะที่คนไทยค่อนข้างอ่อนด้อยเรื่องภาษา วัฒนธรรม รวมถึงความรอบรู้ ทำให้เป็นข้อจำกัด ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องรู้เขา รู้เรา”
หวั่นไทยกลายเป็นประเทศว้าเหว่
ดร.ชินภัทร กล่าวต่อว่า ในช่วงเริ่มแรกของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน สามารถคาดเดาได้ว่า ประเทศที่จะสามารถเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ คงหนีไม้พ้นกลุ่มประเทศมุสลิม ไม่ว่าจะมาเลเซีย อินโดนีเซีย บูรไน ส่วนอีกกลุ่มเป็นประเทศที่มีระดับของการพัฒนาใกล้เคียงกัน ได้แก่ กัมพูชา พม่า ลาว เวียดนาม ส่วนประเทศไทยนั้น จะกลายเป็นประเทศที่ว้าเหว่ ไม่รู้จะไปทางไหน ขณะเดียวกันพบว่า เราไม่ค่อยมีความรับรู้ความเคลื่อนไหวของประเทศอาเซียนมากนัก เพราะเมื่อมีการสำรวจความรู้สึกของนักศึกษาต่อการเป็นพลเมืองอาเซียน ไทยได้อันดับ 8 จาก 10 อันดับ เมื่อถามว่า รู้จักธงอาเซียนหรือไม่ ไทยได้อันดับที่ 10 เช่นเดียวกับเมื่อถามว่า อาเซียนก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.ใด
“สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ต้องเรียนรู้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีความรอบรู้ สนใจแต่ปัญหาภายในของตนเอง ขณะที่ต่างประเทศเข้าใจบรรยากาศภายในของประเทศไทยเป็นอย่างดี รู้ว่าบ้านเรามีเสื้อเหลือง เสื้อแดง” ดร.ชินภัทร กล่าว และว่า การเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ต้องมองไปที่การรับรู้อย่างลึกซึ้ง สิ่งสำคัญคือการสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาสากลของอาเซียน ดังนั้น จึงต้องส่งเสริมกันอย่างเข้มข้น อีกทั้งต้องขยายผลต่อไปถึงนักเรียนในชนบท รวมทั้งต้องส่งเสริมภาษาเพื่อนบ้านควบคู่ไปด้วย
“ความรู้เรื่องอาเซียนเป็นสิ่งจำเป็น เราอาจจะต้องกำหนดหลักสูตรบางอย่าง เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องอาเซียน เพราะการจัดการศึกษาในยุคนี้ไม่ใช่เพื่อการศึกษา แต่ต้องเป็นการศึกษาเพื่อการมีงานทำ อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมของคน นับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด โดยการพัฒนานักเรียนนั้นจะต้องเป็นไปตามศักยภาพ ตามบริบทของพื้นที่ ส่วนนักเรียนที่มีศักยภาพในการเรียนอาชีวะก็จะต้องได้รับการบรูณาการมากขึ้น ขณะที่นักเรียนกลุ่มหัวกะทิก็ต้องมีการพัฒนาต่อไป เพื่อให้บุคลากรทุกกลุ่มมีความพร้อมในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ประชาคนอาเซียน”
ทั้งนี้ ดร.ชินภัทร กล่าวด้วยว่า การพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าต้องวางระบบให้รับกัน ตั้งแต่ระดับชาติ ไปถึงระดับพื้นที่และโรงเรียน ประเทศจำเป็นต้องมีคนที่มองการณ์ไกล เพราะการจัดการศึกษาต้องเปลี่ยนแนวใหม่ ไม่เน้นเฉพาะวิชาการ แต่ต้องให้ความรู้ด้านวิชาชีพ ทักษะการจัดการชีวิต เพื่อสร้างสมดุลในระบบการศึกษา
“คุณภาพการศึกษาในยุคนี้ ไม่ได้ประเมินผลสัมฤทธิ์เฉพาะด้านวิชาการ แต่ต้องครอบคลุมทั้งด้านวิชาชีพ อีกทั้งการจัดการศึกษาจะต้องไม่เหมาโหลทั้งประเทศ แต่ต้องจัดการศึกษาให้แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ดังนั้น เวลาที่เหลืออยู่ เราต้องกะเทาะเข้าไปให้ถึงแก่น เพื่อสร้างความได้เปรียบ การต่อรองเมื่อเป็นประชาคมอาเซียน”
ยกคนทั้งชาติเสมอภาคด้านการศึกษา
ดร.คุณหญิงกษมา กล่าวว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างสง่าและภาคภูมิ โรงเรียนและสังคมต้องช่วยเสริมใน 3 เรื่องด้วยกันคือ 1.ความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาเชิงนวัตกรรม คนไทยไม่เป็นรองใคร เราสามารถเลิกรับ ปรับประยุกต์ได้เหนือใคร โรงเรียนจึงต้องสร้างบรรยากาศของการกล้าคิด กล้าลองในการทำสิ่งใหม่ๆ โดยอย่าเอาความคิดของครูที่ตกยุคไปตัดสินผลงานของเด็ก นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้เด็กคิดต่อยอดได้ รวมถึงสร้างนักนวัตกรรมที่มีความอดทน ไม่สำเร็จก็พยายามทำใหม่
“2.การสร้างความเสมอภาพทางการศึกษา เรามักคิดว่าต้องพัฒนาแต่คนเก่ง ซึ่งมีจำนวนเพียง 20%-30% เท่านั้น แต่เอาเข้าจริงเราจะปล่อยหรือไม่สนใจคนที่เหลือคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเราต้องยกคนทั้งชาติขึ้นทั้งหมด ซึ่งรวมถึงลูกหลานชาวต่างชาติ คนไทยพลัดถิ่นที่ถูกกีดกันไม่ให้เรียน 3.เครือข่ายทางวิชาชีพ นักวิชาชีพสามารถทำอะไรได้มากในการสร้างความสัมพันธ์ ข้าราชการที่อยู่ตามชายขอบสามารถเป็นทูตที่ดีในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ จัดกิจกรรม ส่งนักเรียนไปเรียน ทั้งนี้ แม้สิ่งต่างๆ จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเราคิดในบริบทของตนเอง แข่งในจุดที่เรามีความพร้อม ต่อยอดในจุดที่เรามีความเข้มแข็ง ในที่สุดจะพบว่า เราไม่ลองใคร อีกทั้งยังสามารถก้าวเป็นผู้นำได้อีกด้วย”
ด้านนายวัลลภ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนนั้น จำเป็นต้องมีข้อเหวี่ยงที่สำคัญคือ 1.ต้องปฏิรูปให้ครูอยู่กับเด็ก 2.เปลี่ยนวิธีการประเมินคุณภาพใหม่ ไม่เช่นนั้นครูก็จะทิ้งเด็กไปอยู่กับกระดาษ 3.ต้องคืนอำนาจการจัดการศึกษาให้กับชุมชนท้องถิ่น เพราะคนท้องถิ่นนั้นรู้จักรากเหง้าของตนเอง ทำให้จัดการศึกษาได้ถูกต้อง อย่างเช่น คนสุรินทร์ก็ต้องเรียนภาษาเขมร คนแม่สายต้องเรียนภาษาพม่า สิ่งเหล่านี้เป็นปรัชญาสำคัญในการก้าวสู่อาเซียน เพราะการเป็นประชาคมอาเซียนนั้น เราต้องคบคนข้างบ้าน คบกับเพื่อนบ้าน ไม่ใช่แข่งหรือทะเลาะกับเพื่อนบ้าน
“4.เราพูดถึงเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษกันมาก แต่ปัจจุบันกระทั่งภาษาไทยเด็กๆ ยังอ่านไม่ออก นั่นเป็นเพราะเราเรียนภาษากันแบบแนวตั้ง ดังนั้น ต้องกลับไปสู่ฐานของการเรียนรู้นั่นคือ ‘พ่อแม่’ และ 5.เด็กไทยขณะนี้เท้าไม่ติดดิน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่อดทน ถามว่าแล้วเราจะไปแข่งกับต่างชาติได้อย่างไร ฉะนั้นต้องกลับไปการสอนให้เรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตท้องถิ่น เพื่อจะได้เคารพรักในความเป็นท้องถิ่น เคารพในความเป็นคน ไม่ละเมิดผู้อื่น”
ไทยบ๊วย ยังไม่พร้อมสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน
รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับ 'บ๊วย' ทุกเรื่อง ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งประชาคมอาเซียน ดังนั้น แผนปฏิบัติการณ์สู่อาเซียนในช่วง 3 ปีเศษข้างหน้า สิ่งที่จะต้องทำอย่างหนึ่งคือการชำระประวัติศาสตร์ รากเหง้าของประเทศไทย เนื่องจากเรามีอคติกับพม่าอย่างมาก อีกทั้งเมื่อพูดถึงเขมร เราก็มองว่าเป็นคนเกรดสอง ไว้เนื้อเชื้อใจไม่ได้ ในที่สุดเกิดการคลั่งชาติ จนทำให้เรามีปัญหาทางการเมือง ทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้านตลอดปีที่ผ่านมา
“ประชาคมอาเซียน มีคำที่งดงามซ่อนอยู่ ทั้งการสมานฉันท์ การเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา การเป็นประชาคมแห่งสันติ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน ดังนั้น อาเซียนต้องแยกความเป็นมนุษย์กับทุนนิยมออกจากกัน ไม่เช่นนั้นระบบทุนนิยมจะก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ดูถูกประเทศที่ด้อยกว่า เห็นความเป็นมนุษย์น้อยที่สุด ดังนั้น จึงต้องสร้างความรู้สึกร่วมของการเป็นประชาคมอาเซียน (Spirit of Asean) เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา ไม่เอาเปรียบ”
รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงศึกษาต่อว่า จะต้องวางบทบาทให้เล็กลง ทำเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้น ส่วนเรื่องใดที่ทำไม่ทันก็ต้องปล่อยให้เอกชนทำแทน ขณะที่กระทรวงศึกษาก็เข้าไปซื้อบริการจากเอกชนดังกล่าว นอกจากนี้กระทรวงศึกษาต้องมีการเชื่อมโยงกับกระทรวงแรงงาน เพื่อเข้าไปมีบทบาทในการอบรมแรงงานที่ไม่มีทักษะให้สามารถขยับขึ้นไปเป็นแรงงานขั้นกลาง เพราะเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว จะเกิดการไหลบ่าของแรงงานจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จึงต้องได้รับการจัดการ เพื่อให้หลักการแข่งขันในประชาคมอาเซียนเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบใคร