รอ รบ.ไม่ได้แล้ว!! เพิ่มศักดิ์ ปลุกปชช.รวมกลุ่มอาสา ตั้งศูนย์อพยพฯ เสริมดอนเมือง
อดีตคปร. ชี้ปัญหาน้ำเกิดจากบริหารจัดการและพัฒนาเมืองผิดพลาด เสนอแผนบริหารน้ำระยะยาว ทบทวนผังเมือง สร้างระบบเตือน-ช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ หนุนรัฐกระจายงบฯ-ทรัพยากรให้อาสาสมัคร อย่าให้ทำงานมือเปล่า
ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ อดีตคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงการบริหารจัดการน้ำว่า ในอดีตการจัดการน้ำในประเทศไทยแบ่งเป็นชุมชนต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีหารบริหารจัดการกันเอง มีเครือข่ายแบ่งปันน้ำในหน้าแล้งและควบคุมการใช้สารเคมี เรียกว่า เป็นการดูแลจัดการน้ำแบบชุมชน แต่ในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมา รัฐได้รวบการบริหารจัดการน้ำไว้ที่ส่วนกลาง เกิดพระราชบัญญัติคุ้มครองและใช้อำนาจรัฐในการจัดหาและจัดสรรน้ำแต่เพียงผู้เดียว
“การจัดการแบบรวมศูนย์ไม่ได้ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วม น้ำและลำน้ำทั้งสายจึงกลายเป็นของหน่วยงานของรัฐ เป็นของกรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมประมง เมื่อรัฐไม่จัดการอะไร และคนที่อยู่ส่วนกลางไม่มีความรู้ในปัญหาของน้ำในท้องถิ่น ปัญหาจึงเพิ่มมากขึ้น รัฐมองเห็นแต่ภาพใหญ่ๆ เช่น ประเทศไทยมีน้ำฝน 7 แสนกว่าล้านคิว จะต้องสร้างเขื่อน สร้างอ่าง สร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เป็นการมองภาพกว้าง ปัญหาจึงค่อยๆ สะสม กลายเป็นปัญหาคอขวดและเกิดความรุนแรงอย่างที่เป็นอยู่นี้”
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการที่ผิดพลาดที่เห็นได้ชัด กรณีที่บีบการไหลของแม่น้ำปิงจากกลไกธรรมชาติให้ไหลมาสู่ลำน้ำปลายเดียว จนทำให้ชุมชน 2 ฝั่งลำน้ำได้รับความเดือดร้อนน้ำท่วมขัง ลามมาถึงตอนกลาง อย่างจ.ตาก นครสวรรค์ พิษณุโลก อยุธยา อ่างทอง ปทุมธานี ซึ่งแต่ละแห่งมีนโยบายพัฒนาที่กีดขวางทางธรรมชาติของน้ำ
“การพัฒนาของแต่ละจังหวัดล้วนเป็นการขัดขวาง และทำลายธรรมชาติทางไหลของน้ำอย่างสิ้นเชิง บีบน้ำเป็นหมื่นๆ ล้านคิวให้ไหลลงแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีพื้นที่อยู่ไม่มากและมีอัตราการไหลเพียงแค่ 3,000-4,000 ลบ.ม/วินาที ทำให้การทำลายล้างรุนแรง ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา จะเห็นว่าระดับน้ำสูงประมาณ 2-3 เมตร แต่เมื่อถูกบีบให้แยกจึงมีความแรง สกัดกั้นได้ยาก จนลามมาถึงนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โรจนะ บ้านหว้า บางปะอิน กระทั่งล่าสุดเขตอุตสาหกรรมนวนคร ล้วนมาจากการที่สิ่งก่อสร้างทั้งหลายไปกีดขวางทางเดินของน้ำทั้งสิ้น”
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวถึงปัญหาน้ำครั้งนี้ เกิดจากการพัฒนาที่ไปทำลายกลไกการไหลของน้ำตามธรรมชาติ และมีการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ไม่ได้พร่องน้ำตั้งแต่ต้น อย่างในปีนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าน้ำจะมาก และจะมีพายุถึง 20 ลูก แต่ก็ไม่ได้พร่องน้ำไว้ตั้งแต่ต้น ฉะนั้น เมื่อเพิ่งจะมาพร่องน้ำช่วงปลายเดือนกันยายนน้ำ ก็เยอะเกินไปแล้ว อีกทั้ง เขื่อนทั้งหลายก็ทยอยปล่อยน้ำลงมาทำให้ท่วมขังอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนมาก
“การปิดกั้นไม่กระจายน้ำ บีบให้ท่วมเฉพาะบางพื้นที่ และไม่ให้ท่วมในบางพื้นที่ ทำให้ประชาชนทะเลาะกัน เพราะโดนน้ำท่วมขังกว่า 2-3 เดือน แทนที่จะให้น้ำกระจายไปตามคลองต่างๆ ในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถรับน้ำได้อีก เพราะฝนก็เบาบางลงบ้างแล้ว หากปิดกั้นโดยสิ้นเชิงน้ำก็จะไปกระจุกอยู่ฝั่งตะวันออก ตะวันตกมากเกินไป ทำให้ชุมชนแถวคลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจริญโดนน้ำท่วมขังนานขึ้น”
ส่วนการพัฒนาเมือง ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ภาครัฐปล่อยให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สร้างหมู่บ้านจัดสรร และนิคมอุตสาหกรรมแบบกีดขวางทางน้ำ มีการถมแก้มลิงและแหล่งน้ำธรรมชาติ จนสุดท้ายบีบให้น้ำต้องเข้ามาอย่างที่เป็นอยู่ ชาวบ้านต้องรับกรรม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องทบทวนการบริหารจัดการ ไม่ปล่อยให้ความเป็นเมืองขยายมาทุกทิศทางโดยปราศจากการควบคุม อีกทั้ง การอนุมัติให้บริษัท 200-300 แห่งไปขุดทรายในแม่น้ำเพื่อนำมาถมในเมือง จะยิ่งจะทำให้แม่น้ำลำคลองถูกกัดเซาะ เป็นการทำลายและก่อปัญหามากขึ้นอีก
สำหรับการแก้ปัญหาเร่งด่วนขณะนี้ ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนต้องรวมกลุ่ม รอรัฐบาลไม่ได้แล้ว ต้องกระจายตั้งศูนย์อพยพภัยน้ำท่วมออกไปหลายๆ แห่ง ไม่ใช่แค่ที่ดอนเมืองอย่างเดียว วัด โรงเรียน สถานศึกษาทุกแห่งต้องเข้ามาร่วมเป็นศูนย์กลางและนำบุคลากรมาช่วย โดยเฉพาะซีกตะวันตก-ตะวันออกที่ชาวบ้านต้องเร่งอพยพ รวมทั้งดูแลเยียวยาจิตใจ โดยเฉพาะคนสูงอายุและคนเจ็บป่วย อีกทั้ง การรักษาความปลอดภัยแก่บ้านของคนที่ต้องอพยพ ไม่อย่างนั้นจะต้องรับเคราะห์ 2 เด้ง ทั้งน้ำท่วม ถูกขโมยของหรือโดนข่มขืน ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาสาสมัครสามารถเข้ามาร่วมได้ทั้งสิ้น
“การสร้างทีมอาสาสมัคร ต้องมีการอบรมความรู้เบื้องต้นทั้งการช่วยเหลือ การเยียวยาจิตใจคน การซ่อมแซมบ้านและอุปกรณ์ต่างๆ ให้เขาพอจะดำรงชีวิตปกติอยู่ได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ภาคราชการต้องสั่งหรือจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่มาให้ภาคประชาชนได้ทำงานอย่างเต็มที่ ให้คนที่มีความพร้อม มีความรู้ความสามารถและมีจิตใจที่จะช่วยเหลือได้ทำงาน อย่าให้เขาต้องทำงานด้วยมือเปล่า ต้องเลิกกระจุกงบประมาณ และอำนาจสั่งการทุกอย่างได้แล้ว”
ในส่วนการบริหารจัดการระยะยาว มี 3 ประเด็นที่ภาครัฐต้องเร่งจัดการ คือ
1.การบริหารจัดการ ไม่ควรปล่อยให้นักการเมืองที่ไม่มีความรู้ แต่งตั้งใครก็ได้มาเป็นผู้อำนวยการหน่วยงานต่างๆ ควรจะสร้างเครือข่ายภาคประชาชนทำงานร่วมกับรัฐ ตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการ ให้ข้อมูลความจริงกับประชาชนไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมือง เพราะภาครัฐมีเครื่องมือในการทำข้อมูล ส่วนภาคประชาชนรู้ภูมิประเทศ รู้ปัญหา
2.ปรับปรุงผังเมือง ต้องทบทวนผังเมือง และควบคุมการพัฒนาที่ไปทำลาย กีดขวางทางน้ำและทำลายแหล่งน้ำธรรมชาติ 3.ระบบการเตือนภัย ต้องสร้างระบบป้องกัน เตือนภัย ช่วยเหลือและการจัดการภัยพิบัติ คนที่เสียชีวิตไป 300-400 คนไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะจะกระทบไปถึงคนอีกเป็นพัน เป็นหมื่น ระบบต่างๆ ควรจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้
*ภาพประกอบบางส่วนจาก facebook อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย