ดร.เดชรัต แนะอปท.สร้างจุดรวมพลชุมชน เตรียมรับมือน้ำยามวิกฤต
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มก. คิดบวก มองน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เปลี่ยนความคิดคนกรุงเทพฯ เงินซื้อได้ทุกอย่าง หันมาสนใจทางไหลของน้ำ ให้ความสำคัญ "คู คลอง" ประตูระบายน้ำ มากขึ้น
ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติเฉพาะหน้า โดยต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อถึงภัยพิบัติในระดับหนึ่ง คำว่า “รัฐ” ไม่สามารถลงไปจัดการได้ทุกพื้นที่ในเวลาเดียวกัน คนที่จะทำได้คือ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่วิธีคิดของ อปท.ในการรับมือภัยพิบัติยังไม่ได้ให้น้ำหนักอย่างเต็มที่ เช่น ไปเลือกพื้นที่โดนน้ำท่วมมาเป็นศูนย์อพยพ
“จากนี้ไป อปท. ต้องเตรียมรับมือภัยพิบัติร่วมกับชุมชน ที่ต้องปกป้องบ้านตัวเองโดยเข้าใจถึงภาพรวมด้วยว่า รับมือน้ำได้ขนาดไหน และจะปล่อยน้ำไปทิศทางไหน เป็นหน้าที่ของอปท. ที่ต้องเป็นแม่งานในการทำงานและวางแผนกับชุมชนทั้งหมด ขณะเดียวกันแต่ละชุมชน แต่ละบ้านต้องคิดเตรียมการอย่างไร เช่น สร้างเป็นจุดรวมพลของชุมชน มีที่เก็บเสบียง สะดวกต่อการเดินทาง เพื่อให้ง่ายต่อการอพยพหรือขนย้ายในยามวิกฤต”
ดร.เดชรัต กล่าวอีกว่า ขณะนี้ภัยพิบัติมีแนวโน้มที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น การเตรียมรับมือจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ และต้องคิดกันมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้วางแผนกัน ดังนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้จึงช่วยให้เราได้วางแผนกันมากขึ้น
"เราต้องช่วยกันคิดวางแผนล่วงหน้า หากไม่สามารถออกมาจากบ้านได้ ทำอย่างไรจึงอยู่ในบ้านได้ประมาณ 1 เดือน ทำบ้านให้มีสถานะช่วยหนุนเราในภาวะวิกฤต เช่น มีไม้ผลเก็บกินได้ กล้วย เห็ด เพาะถั่วงอก ทำปลาแดดเดียว เก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ อีกส่วนที่สำคัญ คือ ระบบผลิตพลังงานที่ไม่พอ เราควรเตรียมระบบโซลาร์เซลล์สำรองไว้ รวมทั้งการวางระบบห้องน้ำเผื่อน้ำท่วมด้วย”
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มก. กล่าวถึงการไม่ให้ความสำคัญกับระบบทางไหลของน้ำ โดยไปมองว่า เป็นพื้นที่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ไปถมดิน หรือก่อสร้างกั้นขวางลำน้ำ จนทำให้การระบายของน้ำช้าลง รวมถึงการสร้างผนังกั้นไว้สูงเกินไป จึงเป็นการพยายามจะฝืนธรรมชาติ ท้ายสุดเมื่อพังลงก็จะเกิดผลกระทบรุนแรง
“กรณีการทำทางไหลของน้ำ (water way ,flood way) อย่างชาวบ้านที่ตำบลคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้จัดทำแผนที่ทางน้ำของชุมชน ทำให้รู้และเข้าใจระบบคลองที่มีอยู่ จนสามารถคาดการณ์ทิศทางน้ำได้ แก้ไขสถานการณ์ในเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น รวมทั้งสร้างคันดินโดยปลูกต้นไม่ใหญ่ยึดตามแนวคันดินไปตลอด ทำให้รับน้ำได้ดีกว่า”
กรณีพื้นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ดร.เดชรัต กล่าวว่า แม้เทศบาลได้กำหนดพื้นที่อพยพไว้ 4 จุด แต่ก็ล้วนเป็นจุดที่น้ำท่วมตั้งแต่แรกแล้ว จึงทำให้การอพยพค่อนข้างวุ่นวาย อีกทั้งไม่มีแหล่งพักพิงอยู่ใกล้เคียงในพื้นที่ ลักษณะดังกล่าวนี้ หากมีการทำแผนที่ทางน้ำของชุมชนเอาไว้ ก็จะรู้จุดที่เสี่ยงภัย พื้นที่ใดจะท่วมก่อน ท่วมหลัง ทำให้กำหนดจุดช่วยเหลือได้แม่นยำขึ้น
“ที่ผ่านมาเราอยู่ภายใต้ความเสี่ยงเต็มที่ เพราะไม่คิดว่าจะมีภัยเหล่านี้ การเกิดน้ำท่วมทำให้เราเตรียมตัวรับมือตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน โดยเฉพาะชุมชนเมือง ที่ต้องปรับประยุกต์วิธีการของชุมชนชนบท ว่าจะฟื้นระบบคลองอย่างไร และจะดูแลทางไหลของน้ำกันอย่างไร”
ดร.เดชรัต กล่าวด้วยว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาประชาชนใช้สายตาเพียงอย่างเดียวในการประเมิน และวิเคราะห์ หากยังไม่น้ำ ก็ไม่เตรียมการอะไร แต่ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมที่ปทุมธานี และบางบัวทอง ประชาชนก็มีความรู้เรื่องการเตรียมตัวและเตรียมรับมือกับน้ำมากขึ้นแล้ว เช่น องค์ความรู้ที่ว่า ในแต่ละวันน้ำเดินทางได้ 10 กม. คาดคะเนได้ว่าจากน้ำที่หนึ่งภายในเวลา 1-2 วันจะเดินทางไปทิศทางไหนได้บ้าง ประชาชนต้องเช็คทิศทาง ตรวจสอบระดับน้ำ และคาดการณ์พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมได้
“ท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนต้องวางแผนในการอพยพ เมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมในบ้านเรือนและชุมชนของได้ แต่ขณะนี้คนกรุงเทพฯ ยังไม่คุ้นกับการที่จะต้องอพยพไปไหนล่วงหน้า เพราะการอพยพลักษณะนี้ไม่ใช่อพยพกันวันสองวันหรือสัปดาห์หนึ่ง แต่เป็นการอพยพกันนานกว่านั้น”
เมื่อถามถึงมุมมองด้านบวกของสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ดร.เดชรัต กล่าวว่า ความเคารพเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมาเราไม่ได้สนใจว่า "น้ำ" เป็นอย่างไร จะต้องดูแลอย่างไร อีกทั้งไม่เคยรู้ความสำคัญของ "คลอง" ถึงวันนี้ คนกรุงเทพฯ เริ่มรู้จักคลองปิด รู้จักประตูระบายน้ำแต่ละอย่างมากขึ้นแล้ว
“ที่ผ่านมาคนกรุงเทพฯ อยู่ได้ด้วยองคาพยพต่างๆ มากมายที่อุดหนุนชีวิต คิดว่า มีคนมาดูแลแทนเรา โดยที่ไม่ได้สนใจว่า น้ำมาจากไหน การประปาเลี้ยงปลาอะไรไว้เพื่อเป็นการชี้วัดคุณภาพน้ำ ก็นับเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่ทำให้คนกรุงเทพฯ เปลี่ยนความคิดที่ว่าฉันมีเงินก็จ่ายสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้โดยไม่ทำความเข้าใจ รวมทั้งได้เห็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนในประเทศ อย่างในช่วงหลังเริ่มมีกระแสว่า คนกรุงเทพฯ ก็ยอมท่วมได้ นับว่าเป็นกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่รวมเอาความเข้าใจสรรพสิ่งและการช่วยเหลือกันไว้ และจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญในระยะยาวได้ และทำให้ความยั่งยืนในสังคมเกิดได้มากขึ้น”