น้ำท่วมกรุงเทพฯ ชั้นใน ศก.อ่วม "ธนวรรธน์" คาด เสียหาย 1.1 ล้านล้าน
"เกษตรทางเลือก" จี้ รัฐแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรโดยเร็ว หวังเพิ่มผลป้อนตลาด เสนอ ตั้งระบบสำรองอาหาร-เมล็ดพันธุ์ เริ่มตั้งแต่ครัวเรือน-ชุมชน "พรศิลป์" ห่วง รบ.มีหนี้หัวโต หาก บ.ประกันภัยพิสูจน์ชัด บริหารน้ำล้มเหลว ต้นเหตุความเสียหาย
วันที่ 5 พฤศจิกายน ผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับสูง (บสส.) รุ่นที่ 3 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย สัมมนาสาธารณะเรื่อง ทางรอด “วิกฤตเศรษฐกิจไทย” หลังภัยน้ำท่วม ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ปัญหาน้ำแก้ไม่ตก เหตุเล่นเกมการเมืองมากไป
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ว่า จากตัวเลขของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พบว่า ปริมาณน้ำฝนภาคกลางมีมากกว่าปีก่อนถึง 250% หรือ 2.5 เท่า และปัญหาคือเราไม่ได้เตรียมการเรื่องน้ำไว้เลย อีกทั้งแม่น้ำยมที่ไหล โดยไม่มีเขื่อนก็เป็นปัญหาหลักในการเกิดปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้
“ปริมาณน้ำ 4,000-5,000 ล้าน ลบ.ม. ที่ล้อมกรุงเทพฯ ขณะนี้ เมื่อรวมกับปริมาณน้ำทั้งหมดจะมีกว่า 10,000 ล้าน ลบ.ม. โจทย์คือจะระบายออกได้อย่างไร ซึ่ง กทม. นั้นมีศักยภาพในการระบายน้ำได้ 500 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน แต่ปัญหาทุกวันนี้คือ ระบายไม่ได้ ปัญหาคงต้องมีต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพราะน้ำจะถูกกักไว้ ตราบเท่าที่การระบายน้ำยังไม่คล่อง ขณะเดียวกันจากการประเมินคาดว่า วันที่ 15 พฤศจิกายน สถานการณ์น้ำจะแย่สุด”
รมว.พลังงาน กล่าวต่อว่า ถ้าเอาความจริงมาพูดกัน ปัญหาทุกวันนี้คือการทำงานไม่สอดคล้อง รัฐบาลก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บริหารจัดการน้ำ ส่วนเขื่อนอุบลรัตน์ กฟผ.ทำหน้าที่เพียงบริหารเขื่อน ส่วนการปล่อยน้ำขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารน้ำ ที่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ ขณะเดียวกันในการประชุมยังเห็นภาพกรมชลฯ ด่ากับ กทม. ซึ่งตนก็ไม่ได้ต้องการจะว่าใคร เพียงแต่เอาความจริงมาพูดเท่านั้น ซึ่งผลที่ออกมาเช่นนี้เป็นเพราะเอาเกมการเมืองมาเล่นกัน อีกทั้งถ้าค่อยๆ ระบายน้ำก่อนหน้านี้ น้ำที่อั้นอยู่ก็จะไม่ทะลักอย่างเช่นปัจจุบัน
“สถานการณ์น้ำท่วมหรือสึนามิบนดินครั้งนี้ แย่กว่าสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ถ้าทุกฝ่ายจริงใจในการช่วยเหลือในการระบายน้ำให้ได้วันละ 500 ล้าน ลบ.ม. ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน” รมว.พลังงาน กล่าว และว่า ความเสียหายครั้งนี้ ไม่มีใครได้ประโยชน์จากความเสียหาย และไม่มีใครอยากให้เกิด ซึ่งการต่อสู้กับน้ำรัฐบาลยังคงดำเนินการอยู่ ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็ต้องรีบทำ เพราะอีกไม่นานน้ำก็มีอีก ขณะที่แผนระยะยาวคงต้องมาคิดกันต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลพึ่งเข้ามา 1-2 เดือน แก้ปัญหาขนาดนี้ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้ แม้ในต่างประเทศก็ตาม
ห่วง บริษัทประกันภัย ลากรัฐบาลมีเอี่ยวจ่ายชดเชยน้ำท่วม
ด้าน นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า ตัวเลขความเสียหายภาคอุตสาหกรรมขณะนี้วิ่งอยู่ทุกวัน ขณะที่จีดีพีของ กทม. อยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท หากน้ำท่วม กทม. จะเป็นหง่อยไปเลย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราไปมองที่ภาคอุตสาหกรรมกันมาก แต่รัฐบาลกลับไม่เคยพูดถึงภาคการเกษตร ภาคบริการ ซึ่งขณะนี้พื้นที่การเกษตรเสียหายไปแล้ว 10 ล้านไร่ ข้าวเสียหาย 2-3 ล้านตัน นอกจากผลผลิตข้าวของไทยมีปริมาณน้อยลงแล้ว ราคาขายยังอาจต่ำ ดังนั้น จึงต้องติดตามประเทศคู่แข่งในการส่งออกข้าวของไทยอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ บริษัทประกันภัยที่เข้ามาตรวจสอบความเสียหายของลูกค้า อาจมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาล ซึ่งถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า รัฐบาลทำผิดพลาดและทำให้เกิดความสูญเสีย รัฐบาลอาจหัวโตได้ ส่วนเรื่องการเยียวยานั้น จะต้องจัดให้มีเงินอัดฉีดเข้ามาสู่ระบบมากที่สุด โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะหารือกับรัฐบาลในการเยียวยา ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ขณะเดียวกันการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเหล่านี้อยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีความชัดเจนแล้วว่า อุทกภัยในประเทศไทยครั้งนี้ กระทบกระเทือนกับคู่ค้าของไทยในต่างประเทศอีกด้วย
หนุนตั้งกองทุนความมั่นคงทางนิเวศฯ ฟื้นฟูธรรมชาติ-คน
ดร.จิรากรณ์ คชเสนี ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯนั้นมาจากปริมาณน้ำเหนือ น้ำฝนที่ตกในพื้นที่และน้ำหนุน ซึ่งขณะนี้ปริมาณฝนและน้ำหนุนลดลงแล้ว ดังนั้น สถานการณ์น้ำท่วมไม่น่าจะไปถึงคริสมาสต์
“เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าประเทศไทย โชคดีกว่าฟิลิปปินส์ เวียดนาม พม่า ซึ่งบางประเทศก็เป็นคู่แข่งขันในการส่งออกข้าวกับไทย ดังนั้น ชาวนาไทยน่าจะกอบกู้วิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสได้ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ก็เกิดคำถามในเชิงนโยบายเช่นกัน ทำไมนิคมอุตสาหกรรม 7-8 แห่งถึงไปตั้งในพื้นที่ลุ่ม ที่นา”ดร.จิรากรณ์ กล่าว และว่า หลักการบริหารจัดการและการพัฒนานั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน
ทั้งนี้ ดร.จิรากรณ์ กล่าวด้วยว่า ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากการทำลายสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ฉะนั้น ความเสริมโทรมที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องฟื้นฟูความมั่นคงเชิงนิเวศให้กับประเทศไทย ดังนั้น ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยจะต้องมีการจัดตั้งกองทุนความมั่นคงทางนิเวศของสังคมไทย ส่วนทุนประเดิมนั้นก็คำนวณจากความเสียหายของภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร รวมทั้งเงินที่ประชาชนใช้ในการป้องกันบ้านเรือน ในอัตรา 10% ของความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะน้ำมาใช้สำหรับฟื้นฟูความอยู่ดีมีสุขของธรรมชาติ คน ฟื้นฟูต้นน้ำ ป่าชายเลน พื้นที่ชายฝั่ง รวมทั้งเกษตรกรรายย่อยที่ความช่วยเหลือภาครัฐไปไม่ถึง
จี้ รัฐส่งเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร จ.นครสวรรค์เร็วที่สุด
ขณะที่ นายอุบล อยู่หว้า ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรทางเลือก กล่าวว่า เหตุน้ำท่วมในภาคอีสาน เกิดจากการจัดการของมนุษย์ ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ที่น้ำลดลงแล้วแต่ในพื้นที่ภาคอีสานยังคงมีน้ำท่วมอยู่
“ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากเขื่อนอุบลรัตน์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ซึ่งแม้จะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน แต่ท่วมรวงข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยว ในพื้นที่ จ.มหาสารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.ขอนแก่น และ จ.อุบลราชธานี” นายอุบล กล่าว และว่า ทุกวันนี้สื่อนำเสนอแต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ และไม่ให้ความสำคัญกับความเสียหายทางภาคเกษตรกรเท่าที่ควร
ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรทางเลือก ยังกล่าวอีกว่า เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ส่วนใหญ่แล้วเป็นเกษตรกรที่อยู่ในระบบเกษตรพันธะสัญญา หรือคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยรับจ้างจากบริษัทใหญ่ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้ หมู ไก่ และสัตว์ที่เลี้ยงไว้ตายทั้งหมด และไม่สามารถทำอะไรได้
“ฉะนั้น ขอเสนอให้ รัฐบาลต้องจัดกลไกเข้าไปดูแลเกษตรกรเหล่านั้นได้รับหลักประกันว่า บริษัทจะต้องยกหนี้ให้ทั้งหมดในรอบการผลิตในช่วงอุทกภัย และผลักดันให้บริษัทเข้าไปร่วมช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยา รวมถึงซ่อมแซมโรงเรือนให้กลับมาผลิตได้โดยเร็วด้วย”
นายอุบล กล่าวอีกว่า เกษตรกรใน จ.นครสวรรค์ และ จ.ลพบุรีไม่มีแผ่นดินให้เหยียบมา 4 เดือนแล้ว และไม่สามารถที่จะผลิตผลผลิตได้ ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ อาหารจะมาจากไหน และถ้าจะลงมือทำการผลิตในทันที จะเอาเมล็ดพันธุ์มาจากไหน เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ที่ระบบราชการมี รัฐบาลได้อายัดไว้ทั้งหมดแล้ว
“เมล็ดพันธุ์ต้องถึงมือเกษตรกรใน จ.นครสวรรค์ให้เร็วที่สุด เพราะสามารถอาศัยผลิตในช่วงหลังน้ำลดได้ ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ให้เร็วที่สุด เพราะจะให้เกษตรกรไปเบิกเมล็ดพันธุ์ด้วยตัวเองก็ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องเป็นไปตามระบบการทำงานของรัฐ และหวังอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะทำได้ทัน”
ทั้งนี้ นายอุบล ยังได้เสนอเรื่องการเยียวยาหลังน้ำลดว่า รัฐบาลควรสนับสนุนให้คนในท้องที่ได้จัดการกันเอง โดยทำร่วมกับภูมิปัญญาของชาวบ้านที่มีอยู่แล้ว และรัฐจะต้องกระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดการสำรองอาหารและเมล็ดพันธุ์ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน โดยเอาหลักคิดของสหกรณ์มาใช้
“นอกจากนี้ โครงการประเภทก่อสร้างของรัฐจะต้องเกิดขึ้นอีกมากมายหลังน้ำลด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อโครงการที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ ฉะนั้น การดำเนินการใดๆ หลังน้ำลดต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง”
น้ำท่วมเสียหายหนักกว่า 'วิกฤตต้มยำกุ้ง'
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ย้อนหลัง 15 ปีตั้งแต่วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง น้ำท่วมใหญ่ปีนี้ถือว่าหนักกว่ามาก ครั้งนั้นประเทศไทยล้มละลายจริง แต่เป็นการโจมตีในโครงสร้างภาคการเงินที่ถูกทำร้าย แต่เกษตรกรไม่เจ็บตัว
“วิกฤตการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ จากข้อมูลมี 62 จังหวัดที่เดือดร้อน และล่าสุดยังมีน้ำขังอยู่อีก 28-30 จังหวัด ซึ่งอยู่ในโครงสร้างเมืองที่เปลี่ยนไป จากพื้นที่เกษตรกรกลายเป็นโครงสร้างอุตสาหกรรม ซึ่ง 40% ของรายได้ประเทศขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ดังนั้นผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจจึงถูกนำเสนออย่างมาก”
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ก่อนสิ้นเดือนกันยายน ได้มีการประเมินความเสียหายไว้ 3 หมื่นล้านบาท โดยสังคมเกษตรโดนก่อน มีที่นาเสียหายประมาณ 6 ล้านไร่ และส่งต่อมายังภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้ความเสียหายถูกยกระดับเป็น 2 แสนล้านบาท และเมื่อน้ำเข้ามายังกรุงเทพฯ ทำให้ความเสียหายในส่วนของภาคบริการ การค้าตามมา รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในกรุงเทพฯ และจะส่งผลถึงระบบการกระจายสินค้าอีกด้วย
“ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นในปีนี้ อยู่ที่ 3-4.5 แสนล้านบาท แต่ถ้าหากน้ำท่วมกรุงเทพฯทั้งหมด และลาากยาวไปจนถึงปีหน้าตัวเลขอาจจะสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท โดยเบื้องต้นภาคเกษตรกร ที่นาได้รับความเสียหาย 8-10 ล้านไร่ สัตว์ปีกและสัตว์ต่างๆ 12 ล้านตัว คิดเป็น 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินที่จะสะพัดใน 60 จังหวัดที่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเกษตรกรสภาพคล่องในตนเองน้อยลงมีโอกาสในการฟื้นฟูในอีก 4 เดือนข้างหน้าก็น้อยลง เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ไขเยียวยาให้เกษตรกรมีเงินอยู่”
นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านภาคอุตสาหกรรม เสียหายกว่า 2 แสนล้านบาท ในการขาดรายได้ ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์มีตัวเลขการส่งออกเดือนละ 5 หมื่นล้าน ซึ่งจากเหตุการณ์ส่งผลให้รถได้รับความเสียหาย 2 แสนคัน คิดเป็น 7-8 หมื่นล้านโดยประมาณ เครื่องใช้ไฟฟ้า 7-8 หมื่นล้าน ซึ่งแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตขั้นปลายแต่ส่งผลความเสียต่อตัววัตถุดิบคิดเป็น 3 หมื่นล้านโดยประมาณ และขณะเดียวกันยังมีอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ที่มีการส่งออกเดือนละ 4-5 หมื่นล้านบาท และที่สำคัญมีผลต่อแรงงาน 6-7 แสนคน
“สิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้ได้ คือ ต้องป้องกันไม่ให้น้ำเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นในให้ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 3-4 หมื่นล้านบาท และท้ายสุดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 เติบโตติดลบแน่ และตลอดทั้งปี เศรษฐกิจไทยจะโตได้เพียงร้อยละ 1.5-2.5 เท่านั้น”
ทั้งนี้ นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่ต้องดูหลังจากน้ำลด คือ 1.การจ้างงานชั่วคราว การว่างงานชั่วคราวจะเป็นอย่างไร 2.ต้องดูถึงราคาข้าวของที่จะสูงขึ้น ในขณะที่ระบบการขนส่งใช้ไม่ได้ 3.รัฐบาลจะต้องดูแลไม่ให้หนี้สาธารณะของประเทศมีสัดส่วนต่อจีดีพีไม่สูงจนเกินไป และ 4.สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องเข้าดูแลนั่นคือ ความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะขณะนี้รัฐบาลช่วยเพียงธุรกิจขนาดใหญ่ และผู้ที่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินได้เท่านั้น แต่ผู้ที่เดือดร้อนทั่วไปกลับไม่ได้ดูแล