ประชุมนัดแรก กยอ. "ดร.โกร่ง" ตั้งอนุ กก. ฟื้นฟูเยียวยา 4 ชุด
"ดร.โกร่ง" นำทีมสร้างความมั่นใจนักลงทุนต่างชาติ-ญี่ปุ่นย้ำไม่ย้ายฐานการผลิต พร้อมเร่งเจรจาบริษัทประกันฯ หวังลดอัตราค่าธรรมเนียม ยัน ใช้เงินสำรองระหว่างประเทศแก้ปัญหาน้ำท่วมดีกว่าปล่อยกู้สหรัฐฯ ในดอกเบี้ยต่ำ
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ที่สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ซึ่งมีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานการประชุม กยอ. ประชุมนัดแรกพร้อมด้วยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สศช.
นายวีรพงษ์ เปิดเผยหลังการประชุมถึงกรอบการทำงานของ กยอ. ว่า อันดับแรก เป้าหมายในระยะสั้น ต้องให้ความมั่นใจกับประชาชนและนักลงทุนต่างประเทศว่าในปลายฤดูฝน ปี 2555 หากเกิดอุทกภัยทางรัฐบาลไทยจะมีการจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายสาหัส ทั้งนี้มีภารกิจหลายเรื่องที่ต้องทำ และในระยะยาว จะทำงานเชื่อมต่อกับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกฯ โดยนำปัจจัยเสี่ยงเรื่องอุทกภัย ทั้งด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวก การคมนาคม และน้ำ รวมถึงการพัฒนาบ้านเมืองในเรื่องพื้นที่ เขตอุตสาหกรรม เกษตร ทางน้ำไหล เข้าไปพิจารณาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่าจะต้องมีการจัดการอย่างไร
สำหรับสิ่งที่ต้องทำในอีก 12 เดือนข้างหน้า ประธาน กยอ. กล่าวว่า จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการ 4 ชุด ได้แก่ 1.คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย 2.คณะกรรมเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้านโครงการพื้นฐาน 3.คณะกรรมเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ความเป็นอยู่ของประชาชน 4.คณะกรรมเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้านการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต พร้อมกันนี้จะมีการแต่งตั้งอนุกรรมการอีก 4 ชุด ได้แก่
1. คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และต่างประเทศ โดยมี นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน
2. คณะอนุกรรมการด้านการประสานความร่วมมือและสร้างความมั่นใจกับภาคเอกชน โดยมีนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตซีอีโอ บมจ. ปตท. เป็นประธาน
3. คณะอนุกรรมการด้านการจัดตั้งองค์กรถาวรและการบริหารจัดการ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นประธาน
4. คณะอนุกรรมการด้านการเงิน ตลาดทุนและประกันภัย โดยมีนายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักการเงินชื่อดัง เป็นประธาน
นายวีรพงษ์ กล่าวต่อว่า 2.ได้มอบหมายให้ สศช. เป็นฝ่ายธุรการและฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนี้ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สศช.สเป็นประธาน พร้อมทั้งได้กำหนดกรอบอัตรากำลังหน่วยงาน ประมาณ 30 คน ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะ ส่วนสถานที่ทำการนั้น ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่
“3.การสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ที่เกรงว่าสำนักงานบริษัทประกันภัยจะไม่รับประกันต่อ ได้รับแจ้งจากทางสมาคมว่าในชั้นต้นการประกันภัยต่างๆ จะดำเนินการไปก่อน ยกเว้นเรื่องอุทกภัย ที่ยังเจรจากันอยู่ว่าเรื่องอุทกภัยจะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของภัยธรรมชาติทั้งหมด เมื่อตกลงกันได้ก็จะมาต่อรองเรื่องอัตราธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถให้ความมั่นใจได้ ว่าจะดำเนินการ ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก ก็จะแบ่งเบาเรื่องค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขที่ภาคธุรกิจจะสามารถประกันอุทกภัยได้ ซึ่งภารกิจนี้ จะรับหน้าที่ประสานงานทั้งกับภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ความมั่นใจกับภาคธุรกิจประกันภัยให้สามารถรับประกันได้”
นายวีรพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อวิตกกังวลว่าบริษัทประกันภัยต่างชาติจะไม่กล้ารับประกัน เนื่องจากไม่สามารถส่งต่อข้อมูลถึงบริษัทระดับสูงสุดได้ ทางรัฐบาลจะสร้างความมั่นใจว่าจะดูแลเรื่องอุทกภัยให้ดีที่สุด และขออย่าได้กังวล รวมถึงมอบหมายกระทรวงการคลังไปดูแล ให้บริษัทประกันสามารถประกันอุทกภัยได้ในราคาที่เป็นธรรมมากที่สุด
ประธาน กยอ. กล่าวต่อว่า 4.การพบผู้แทนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยพบกับประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (JCC) องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศ (เจโทร) และประธานบริษัทโตโยต้าญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยบริษัทญี่ปุ่นมีความปรารถนาที่จะอยู่ในประเทศไทยและขยายกำลังการผลิตในประเทศไทยต่อไป เนื่องจากไทยมีแรงงานที่มีฝีมือ มีประสบการณ์และมีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร รวมทั้งยอมรับการจ้างงานในแนวทางของวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้ ขณะเดียวทางบริษัทญี่ปุ่นให้แรงงานไทยไปทำงานในโรงงานของญี่ปุ่นในประเทศอื่นๆได้
“นอกจากนี้ทางบริษัทญี่ปุ่นได้ขอให้ประเทศไทยอำนวยความสะดวกในเรื่องวีซ่าชั่วคราวสำหรับวิศวกรและแรงงานของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาดูแลโรงงานหลังน้ำลด เพื่อให้โรงงานเปิดทำการได้เร็วที่สุด และนอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นสาขายานยนต์ กำลังพยายามขยายการผลิตในประเทศไทยจาก 1 ล้านคัน เพิ่มเป็น 2.5 ล้านคัน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด ทั้งนี้เรื่องน้ำท่วมเป็นอุปสรรคชั่วคราว เราต้องดูแลเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ผ่านไปได้”
นายวีรพงษ์ กล่าวอีกว่า น้ำท่วมรอบนี้เป็นวิกฤตแต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสยกความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมของไทยขึ้นให้ขึ้นไปอีกระดับ ทั้งนี้ มีความเห็นร่วมกันว่า การจัดแบ่งโซนอุตสาหกรรมมีความจำเป็น ซึ่งทางญี่ปุ่นยินดีให้ความร่วมมือ และพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งด้านการเงินและกำลังคนในการฟื้นฟูประเทศ เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีประสบการณ์อย่างยาวนาน ทั้งนี้ ตนและนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อปรึกษาแนวทางการฟื้นฟู ในวันที่ 28 พฤศจิกายน นี้
สำหรับการล้วงเงินสำรองของประเทศมาใช้ นายวีรพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันเราเจ็บป่วยแต่ไม่ยากจนเหมือนสมัยก่อน เนื่องจากเอกชนมีเงินออมไว้ลงทุน ขณะที่ประเทศมีดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกทำให้การเงินไม่มีปัญหา ส่วนที่แบงค์ชาติไม่เห็นด้วยกับการนำเงินมาใช้นั้น คงต้องไปถามแบงค์ชาติ แต่ทั้งนี้ในส่วนตัวเห็นว่าการนำเงินสำรองระหว่างประเทศให้รัฐบาลกู้ไปใช้นั้น ย่อมดีกว่าการให้สหรัฐอเมริกากู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
“ส่วนการประเมินมูลค่าโครงการต่อไปนั้น ต้องเป็นตามระเบียบราชการต่อไป ทั้งนี้การลงทุนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ต้องสอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ในกรยกระดับพัฒนาประเทศต่อไป ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับรายงานจาก กยน.”
ด้าน นายอาคม กล่าวถึงยุทธศาสตร์การป้องกันน้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรม ว่า ในปี 2555 จะมีระบบป้องกันอย่างน้อย 2 ระบบ ได้แก่ 1.ระบบป้องกันในนิคมอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการต้องปรับปรุงแก้ไข ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมจัดวงเงินสินเชื้อดอกเบื้อต่ำ (ซอฟต์โลน) และแหล่งเงินทุนพื้นฐานให้อุตสาหกรรมได้กู้ใช้ในการลงทุนป้องกันน้ำท่วม 2.ป้องกันระดับน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงชุมชนใกล้เคียง ทั้งนี้ต้อง คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ด้วยว่าจะออกแบบโครงสร้างและจัดการระบบน้ำท่วมอย่างไร