นักวิชาการ ชี้ 10 ปี ไทยใช้เงินบริหารจัดการน้ำกว่า 4 แสนล้าน
ดร.กัมปนาท เปิดสารพัดจุดอ่อนการบริหารจัดการน้ำแบบไทยๆ ที่ขาดความเข้าใจ แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำ ไร้การเชื่อมโยง แถมการเมืองมีเอี่ยว ด้าน "อ.จุฬาฯ" คาดการณ์ น้ำรอบ 100 ปีรุนแรงหนัก-น้ำอาจท่วมสูงเกิน 3 เมตร
เมื่อเร็วๆ นี้ รศ.ดร.กัมปนาท ภักดีกุล คณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในงานประชุมวิชาการ “พระราชดำริ: แสงส่องสู่ทางออกจากวิกฤตน้ำท่วม” ถึงจุดอ่อนการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย ว่า บ้านเราขาดความเข้าใจในการจัดทำแผนจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ การจัดการบริหารน้ำทั้งระบบลุ่มน้ำ เนื่องจากแผนซึ่งแต่ละหน่วยงานจัดทำนั้น มีลักษณะไม่เชื่อมโยง ต่างคนต่างทำ ซึ่งสาเหตุเกิดจากปัจจัยทางการเมือง ความเฉื่อยชาขององค์กรที่รับผิดชอบ รวมทั้งความคิดที่ไม่เป็นระบบ ทำให้ที่ผ่านมาการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำเกิดความล่าช้า นอกจากนี้เรายังมองว่าน้ำเป็นทรัพยากรที่หาได้ใช้คล่อง จึงเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนที่จะวางแผนระยะยาว
“ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บ้านเราในเม็ดเงินในการบริหารจัดการน้ำประมาณ 400,000 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งก็ยังมีอยู่ ดังนั้น การวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ ต้องการปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการแก้ปัญหาเป็นจุดๆ มาเป็นการแก้แบบองค์รวมทั้งระบบลุ่มน้ำ โดยที่ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียและท้องถิ่นต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะโจทย์สำคัญของการจัดสรรน้ำคือความเท่าเทียม ทั้งนี้ เพื่อลดความขัดแย้งเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรน้ำที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้”
ขณะที่ ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมในช่วง 200 ปีพบว่า ปัญหาน้ำท่วมที่มีผลกระทบต่อชุมชนเมืองนั้น พึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และเมื่อเกิดน้ำท่วมขึ้น บ้านเรามักใช้มาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง (Structural measures) ในการแก้ไขปัญหา
“ตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เราเน้นมาตรการใช้สิ่งก่อสร้างมากกว่า 90% อาทิ มาตรการปรับปรุงระบบระบายน้ำ การป้องกันน้ำท่วมโดยก็ใช้ระบบปิดล้อม การสร้างเขื่อนเพื่อชะลอน้ำท่วม ซึ่งข้อดีของมาตรการดังกล่าวคือ ทำแล้วเห็นผลทันที แต่ในทางกลับกัน หากทำไม่ดีย่อมเกิดผลกระทบตามมา ขณะที่โครงสร้างต่างๆ ที่ออกแบบไว้นั้นก็พบว่า ไม่สามารถรองรับน้ำขนาดใหญ่ได้ อีกทั้งการต่อสู้กับน้ำท่วม โดยใช้วิธีการผันน้ำนั้นไม่เพียงพอ”
ส่วนมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง (Non-structural measures) เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน การอนุรักษ์พื้นที่แก้มลิงนั้น ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า มีน้อยมาก ซึ่งข้อมูลต่างประเทศได้ระบุไว้ว่า สังคมที่เลือกใช้ระบบป้องกันน้ำท่วม โดยมาตรการใช้สิ่งก่อสร้างอย่างเดียวจะเกิดปัญหาและผลกระทบมากกว่า
ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวถึงปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางว่า ต้องวางระบบให้ดี เพราะจะเจอปัญหาหนักกว่านี้ เนื่องจากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้พบว่า น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น เป็นเพียงน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบ 80 ปีเท่านั้น แต่ในส่วนของน้ำท่วมใหญ่รอบ 100 ปียังไม่เคยเกิดขึ้น จากการศึกษาน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 100 ปีจะมีความรุนแรงขนาดที่ระบบป้องกันเอาไม่อยู่ น้ำอาจท่วมสูง 3 เมตรกว่า ดังนั้น เพื่อขจัดปัญหาเรื่องน้ำท่วมจึงมีข้อเสนอ 11 มาตรการ ดังนี้
1.สร้างระบบทางด่วนพิเศษระบายน้ำท่วม (super-express floodway)
2.ปรับปรุงระบบระบายน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพทั้งระบบ เช่น ขยายประตูน้ำให้สอดคล้องกับขนาดคลองต่างๆ วางระบบการดูแลคูคลองและการขุดลอกสม่ำเสมอ ปรับปรุงถนนในปัจจุบันที่ปิดกั้นทางน้ำท่วมไหลหลาก เช่น มอเตอร์เวย์ บางนาตราด พระรามสอง
3.ปรับปรุงระบบเตือนพิบัติภัยล้วงหน้าและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใหม่ทั้งระบบ
4.วางแผนพัฒนากรุงเทพฯและเมืองบริวารในอนาคต
5.มาตรการจัดเก็บภาษีน้ำท่วมและการประกันภัย เพื่อกองทุนชดเชยน้ำท่วม แบ่งเป็น ภาษีน้ำท่วมโดยตรงจากพื้นที่ที่มีระบบปิดล้อมป้องกันน้ำท่วม และภาษีน้ำท่วมทางอ้อม เพื่อปกป้องพื้นที่แกล้มลิงธรรมชาติโดยเก็บภาษีสิ่งปลูกสร้างในอัตราสูงมาก
6.มาตรการควบคุมการใช้ที่ดินและผังเมืองโดยใช้แผ่นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม
7.มาตรการควบคุมการใช้น้ำบาดาลเพื่อลดปัญหาแผ่นดินทรุด ช่วยให้การระบายน้ำได้ดีขึ้น
8.มาตรการแผ่นแม่บทกำหนดระยะเวลาการเพาะปลูกในลุ่มน้ำท่วมอย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับการแปรปรวนและผกผันของภูมิอากาศในอนาคต เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดกับภาคเกษตรกรรมและการผลิตอาหารของประเทศทั้งระบบ
9. มาตรการอนุรักษ์และปกป้องพื้นที่แกล้มลิงธรรมชาติให้สอดคล้องกับวิถีชุมชนในพื้นที่ล่อแหลมเสี่ยงภัยน้ำท่วมสูง
10.ควรเร่งพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดพิบัติภัยทั้งระบบและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อการจัดการพิบัติภัยของภาครัฐ
และ11. ควรจัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องพิบัติภัยและส่งเสริมงานวิจัยทั้งระบบอย่างจริงจังเพื่อลดพิบัติภัย ด้วยองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่และการสื่อสารความรู้พิบัติภัยสู่ประชาชนอย่างเป็นระบบ
จากนั้นเมื่อถามว่า ปีหน้าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่อีกหรือไม่ ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าวว่า สาเหตุน้ำท่วมปีนี้เกิดจากปรากฏการณ์ลานินญ่า ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปศึกษาปรากฏการณ์ดังกล่าวในรอบ 70 ปีพบว่า ลานินญ่าไม่เคยเกิดขึ้นติดต่อกันเกิน 3 ปี หรือถึงจะเกิดขึ้นสถานการณ์ก็จะเบาลง ดังนั้น โอกาสที่จะเจอฝนตก และน้ำท่วมหนักมีได้กรณีเดียวคือ พายุ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา
"เรื่องพิบัติภัย ไม่ว่าจะน้ำท่วม แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม พายุ ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย อีกทั้งบ้านเรายังไม่มีข้อมูลพื้นฐาน ไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง สิ่งเหล่านี้จึงต้องมีการถอดบทเรียน เพื่อคลี่ปัญหาของสังคม ไม่เช่นนั้น เราจะเจอความรุนแรงและปัญหาที่หนักกว่านี้"