เลิกคิดย้ายเมืองหลวง นักผังเมือง แนะทำกทม.ให้มีพื้นที่ว่าง เพื่อรับ-ระบายน้ำ

ดร.เสรี จวกรัฐเลียนแบบญี่ปุ่น ตั้ง กยน.-กยอ. มาแก้ปัญหาน้ำ แต่กลับมีนักการเมือง ขณะที่ดร.กิตติศักดิ์ ชี้หลายรบ.มองข้าม กม.ป้องกันและบรรเทาฯ ทั้งที่ให้อำนาจเด็ดขาดกรณีเกิดภัยพิบัติ สั่งรื้อถอนชุมชนขวางทางน้ำได้ทันที
วันที่ 21 ธันวาคม 2554 สำนักงานศาลปกครอง ร่วมกับ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จัดเสวนาประชาชนในหัวข้อเรื่อง “รับมืออย่างไรกับภัยน้ำท่วม” โดยมี รศ. ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยรังสิต รศ. ดร.รุธิร์ พนมยงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศโลจิสติกส์และการขนส่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ. ดร. นพนันท์ ตาปนานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ. ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเสวนา
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า คนไทยไม่ค่อยได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยง จึงไม่เกิดความตระหนักและไม่ปรับตัว ส่งผลให้ขาดการเตรียมพร้อมในการรับมือ นอกจากนี้ยังขาดในเรื่องของระบบการตัดสินใจ โดยไม่มีการรู้ล่วงหน้า ซึ่งในความจริงควรต้องมีคำตอบหรือแผนรองรับไว้แล้ว ว่า หากเกิดสถานการณ์วิกฤตต้องบริหารจัดการอย่างไร
“รัฐบาลไม่มีการแปลเอกสาร ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงให้ประชาชนได้รับรู้ ซึ่งจากรายงานของสหประชาชาติ โดยคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ระบุว่า ประเทศไทยมีความล่อแหลมมาที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งหลังจากต้องมีการบริหารจัดการให้ดีขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีการสื่อสารไปยังประชาชน และประชาชนต้องช่วยตนเองในการปรับตัว เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ควรมุ่งความสนใจเฉพาะเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกเพียงอย่างเดียว เพราะผลการสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกหลายสิบปี”
รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ซึ่งมีตนร่วมอยู่ด้วย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ โดยเลียนแบบของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเลียนแบบที่ผิด เพราะคณะกรรมการของประเทศญี่ปุ่นไม่มีนักการเมือง มีแต่นักกฎหมาย และภาคประชาสังคม ซึ่งคณะกรรมการของไทยกลับมีแต่นักการเมือง
ทั้งนี้ รศ.ดร.เสรี ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ว่าปีหน้าน้ำจะท่วมหรือไม่ว่า จากข้อมูลศูนย์พายุไต้ฝุ่นของญี่ปุ่น ระบุว่า หลังปีลานินญ่าปี 2010 จะมีพายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น โดยเรามีพายุขณะนี้ 38 ลูก และในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก ฉะนั้นปีหน้าจะน้ำจะท่วมหรือไม่ต้องดูว่าพายุเหล่านี้จะพัดผ่านบริเวณใด ซึ่งหากปีหน้ามีการบริหารจัดการที่ดี โดยให้ปีนี้เป็นบทเรียน น้ำคงไม่ท่วมรุนแรง
เปิดจุดอ่อนระบบโลจิสติกส์ยามเกิดอุทกภัย
ด้าน รศ.ดร.รุธิร์ กล่าวถึงระบบการขนส่งโลจิสติกส์ว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับระบบขนส่งทางบก ทางถนน กันมาก เมื่อเกิดวิกฤตหรือการขนส่งตัดขาด จึงทำให้เกิดผลกระทบอย่างมหาศาล ทั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเกิดการแข่งขันทางการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ รวมถึงทางอากาศด้วย
“จุดอ่อนของระบบโลจิสติกส์ยามเกิดอุทกภัย คือ ในยามวิกฤต มีการจัดเตรียมแผนไว้แล้ว แต่ไม่มีการขับเคลื่อนที่จะทำให้เกิดขึ้น ประเทศไทยวางแผนเป็น แต่ไม่สามารถขับเคลื่อนหรือผลักดันได้ อาจเป็นเพราะแต่ละคนมองแค่ในพื้นที่ของตนเอง”
แก้ปัญหาน้ำ ต้องจัดการใหม่ทั้งระบบ
ขณะที่ ผศ.ดร.นพนันท์ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในที่ราบภาคกลางไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะภาคกลาง แต่เป็นพื้นที่ต่อเนื่องไปจนถึงภาคเหนือด้วย ซึ่งเกี่ยวพันกับแม่น้ำ 8 สาย จึงจะมองแค่สายใดสายหนึ่งไม่ได้ และนอกจากนี้ เรายังละเลยในเรื่องของระบบนิเวศน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ป่าไม้ รวมถึงทะเลด้วย ฉะนั้นแล้วการจัดการแก้ปัญหาต้องจัดการใหม่ทั้งระบบ
“เราไม่ควรสู้กับน้ำ เพราะประเทศไทยมีการจัดการน้ำมาตั้งแต่สมัยก่อน ในประวัติศาสตร์เราไม่เคยคิดปิดพนังกั้นน้ำ แต่กลับคิดวิธีการที่จะอยู่กับน้ำ ซึ่งปัญหาในการบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ คือ การบริหารปกครอง นั่นคือ หาก กรุงเทพฯจะแก้ป้องกันน้ำท่วม ก็สามารถทำได้เพียงในเขตกรุงเทพฯเท่านั้น ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาคือ ต้องมีการพูดคุยของกรุงเทพฯและจังหวัดปริมณฑล เพราะถ้าป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเฉพาะกรุงเทพฯ ก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่าจังหวัดโดยรอบจะไม่ท่วม ซึ่งกลายเป็นปัญหากระทบกระทั่งของมวลชนตามมา ประเทศไทยมีการวางแผน แต่ไม่จัดการให้เข้ากับระบบ ลงทุนไปหลายล้าน ฉะนั้นปัญหาที่ตามมาคือเกิดความเสียหายมหาศาล”
ทั้งนี้ ผศ.ดร.นพนันท์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้กรุงเทพฯกำลังยกร่างผังเมืองรวมฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอต่อคณะกรรมการผังเมือง ซึ่งมีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับแผนการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วม โดยกำหนดให้ต้องมีพื้นที่ 50% เป็นพื้นที่ว่าง สำหรับเป็นพื้นที่ซึมน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำที่จะเข้าสู่การระบาย และมีมาตรการจูงใจให้กับภาคเอกชน ที่ต้องการพื้นที่เพิ่ม ว่า หากก่อสร้างอาคารประหยัดพลังงาน หรือมีการกักเก็บน้ำฝนไว้ในอาคารในปริมาณที่เหมาะสม จะได้รับสิทธิในการสร้างอาคารเพิ่มขึ้น
สำหรับเรื่องการย้ายเมืองหลวงนั้น ผศ.ดร.นพนันท์ กล่าวว่า ไม่คุ้มค่า เพราะถ้าย้ายไปแล้ว แต่การบริหารจัดการยังไม่ดีพอ น้ำก็ยังสามารถท่วมได้ เห็นได้ชัดว่า แม้จ.เชียงใหม่ หรือจ.นครราชสีมา น้ำยังท่วมถึง ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดน้ำก็ท่วม จึงควรแก้ที่การบริหารจัดการน้ำ และทำให้กรุงเทพฯมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เพื่อรับและระบายน้ำ จะดีที่สุด
สังคมไทยเรียนรู้เรื่องกม.น้อย
ด้าน ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวถึง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ว่าที่ผ่านมารัฐบาลมองข้าม พ.ร.บ. ดังกล่าวในการจัดการครั้งนี้ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจเผด็จการแก่รัฐบาลในการบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติ เช่น รัฐสามารถสั่งรื้อถอนชุมชนได้ทันที หากชุมชนนั้นขวางทางน้ำ และจ่ายค่าชดเชยให้ภายหลังได้ หรือแม้แต่การเรียกประชุมนักวิชาการหรือภาคเอกชนมาร่วมหารือในการแก้ปัญหาก็สามารถทำได้
“ในกรณีที่คนที่อยู่ในพื้นที่ต่ำไม่ยอมที่จะรับน้ำ ก็มีหลักกฎหมายทั่วไปที่ระบุแนวปฏิบัติในแง่ เอกชนว่า พื้นที่ต่ำมีหน้าที่รับน้ำ และพื้นที่สูงมีหน้าที่ปล่อยน้ำ ซึ่งหากไม่ดำเนินการตามหน้าที่ก็ต้องมีความผิด ซึ่งในสังคมไทยรับรู้ในเรื่องน้อยมาก” ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวและว่า นอกจากนี้ในกรณีที่รัฐพยายามกั้นน้ำไม่ให้กระทบเขตกรุงเทพฯ เป็นผลให้พื้นที่รอบๆเกิดน้ำท่วมขัง ตามกฎหมายต่างประเทศถือว่ารัฐผลักภาระให้กับประชาชน ทำให้เกิดสภาพเสมือนเวนคืนที่ดิน ซึ่งรัฐต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ทั้งนี้ คดีลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
