ประชาธิปไตยไทยยังไม่เกิด อ.รัฐศาสตร์ มธ.เปรียบคำบัญญัติที่ลอยในอากาศ

ดร.สมบัติ ชี้พื้นฐานศีลธรรมที่แตกต่างกัน เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในปัจจุบัน แนะประชาธิปไตยต้องมีขันติธรรม ปล่อยวาง เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง
วันที่ 27 ก.พ. คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการสัมมนาประจำปีคณะรัฐศาสตร์ 2555 หัวข้อ “เมืองไทย 2012:ความท้าทายทางกรเมือง การบริหาร และการต่างประเทศ” ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดย ศ.ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวปาฐกถานำ เรื่อง“ ประชาธิปไตยไทย ปรัชญากับความจริง”
ศ.ดร.สมบัติ กล่าวตอนหนึ่งว่า ประชาธิปไตยยังไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสังคมไทย เพราะเป็นการปกครองโดยคนชั้นปกครองที่มีการสมคบกันเข้าสู่อำนาจ หรือเป็นส่วนผสมของกลุ่มชนชั้นผู้ปกครองและผู้หิวกระหายในอำนาจ จนทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เป็นอยู่ และไม่มีความศรัทธาในความชอบธรรมที่นักการเมืองอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรคิดว่า เมื่อมีระบอบประชาธิปไตยแล้วการเมืองจะสงบสุข หรือไม่มีรัฐประหาร นั่นเพราะยังคงมีการกบฏเกิดขึ้นได้ อันมีสาเหตุมากจากคนหมู่มากกดขี่คนส่วนน้อยจึงทำให้เกิดการต่อต้าน
“ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาหลายประเทศในทวีปยุโรปมีการโต้แย้งเกี่ยวกับปรัชญาประชาธิปไตย ในเรื่องของความเสมอภาค สิทธิ เสรีภาพมาโดยตลอด แต่ในสังคมไทยแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันบางประการ ซึ่งการมีประชาธิปไตยจะเป็นการคุ้มครองสิทธินี้ของประชาชน โดยที่ประชาชนสามารถที่จะถอดถอนรัฐบาลได้หากรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย”
ศ.ดร.สมบัติ กล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย ที่เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2475 มีปัญหามาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโลกทัศน์ของคนไทยส่วนใหญ่ยังเป็นโลกทัศน์ของพุทธที่ไม่เอื้อต่อวิธีคิดแบบปัจเจกชนประชาธิปไตย และเมื่อไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ประชาธิปไตยจึงเป็นเพียงคำบัญญัติที่ลอยอยู่ในอากาศ เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา
ศ.ดร.สมบัติ กล่าวว่า ปี 2475 เราพลาดที่ไม่ยกเอาทฤษฏีขึ้นมาพูดกัน แต่เป็นการนำเอาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกกล่าวอ้างว่า “ไม่ดี” มาเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย “ที่ลอยอยู่ในอากาศ” ฉะนั้นจึงมีฝ่ายหนึ่งมองว่า ประชาธิปไตยที่ผ่านมาไม่สมบูรณ์แบบ และอีกฝ่ายหนึ่งก็กล่าวว่า เป็นประชาธิปไตยเกินเลย และสร้างความแตกแยกมากพอแล้ว ซึ่งการจะนำมาพูดขณะนี้คงไม่ได้แล้ว
ทั้งนี้ ทางออกสำหรับแนวคิดที่ขัดแย้งกันนี้ ศ.ดร.สมบัติ กล่าวว่า ประชาธิปไตยควรมีขันติธรรม ซึ่งเป็นค่านิยมเดียวที่ถูกเรียกร้องให้มีในสังคมไทย ต้องมีการปล่อยวางเพื่อไม่ให้เกิดความนองเลือด มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ผิดเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่เลวร้าย เกิดสิ่งที่ดีขึ้น และเกิดสันติสุข และเมื่อถึงจุดที่เรารู้สึกว่าสิ่งสำคัญสูงสุดของเรา เช่น ประชาธิปไตยหรือความถูกต้องถูกละเมิด ก็จะนำไปสู่ความโกรธแค้นทาง ศีลธรรม
“ความขัดแย้งในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นจากการไม่ต้องการประชาธิปไตย แต่เป็นความต้องการประชาธิปไตยที่มีพื้นฐานทางศีลธรรมและสังคมที่แตกต่าง ฉะนั้น สังคมต้องมีพื้นฐานทางศีลธรรมที่ดีร่วมกัน เพราะไม่เช่นนั้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เห็นได้ชัดจากปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตามไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะยังมีการแยกประชาชนออกจากกันอยู่ ดังนั้นประชาธิปไตยในสังคมนี้ต้องมีการประเมินตามความเป็นจริง ต้องรู้เท่าทันอคติต่างๆของประชาธิปไตย มิเช่นนั้นเราจะไปไม่รอด เพราะอคติที่เรื่องที่ลบได้ยาก”
