แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
150 ปี กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “ทรงเป็นหลักราชการ”
"ดร.วิษณุ" ระบุ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อการปกครองประเทศไทยทั้งระบบ พระราชประวัติ ไม่ได้เรียนเมืองนอก แต่จดจำ รอบรู้ กระทั่งเชี่ยวชาญหลายสาขา ย้ำชัดต้องจำไว้สอนคน "ความรู้อาจเรียนทันกันหมด"
ในวโรกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 150 ปี ในวันที่ 21 มิถุนายน 2555 และครบ 50 ปีที่ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก นั้น
เมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในเวทีปาฐกถาเสาหลักของแผ่นดิน ชุด "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" เรื่อง "สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับการปกครอง" ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนหนึ่งถึงพระราชประวัติ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ของรัชกาลที่ 4 ซึ่งไม่เคยได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ หรือไปเรียนเมืองนอกเลย
" เหลือเชื่อที่คนๆ หนึ่งสามารถที่จะจดจำ รอบรู้ กระทั่งมีความเชี่ยวชาญ ในบรรดาสรรพวิทยาการต่างๆ ได้มากมาย เรื่องนี้ต้องจำไว้สอนคนที่ไม่มีโอกาสไปเรียนเมืองนอก ว่า ความรู้อาจเรียนทันกันหมด" ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าว และว่า ช่วงพระชนมายุ 25 ปี ท่านได้เป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการ และเมื่อรัชกาลที่ 5 ตั้งกรมธรรมการขึ้น ก็ทรงควบกรมธรรมการอีกกรมหนึ่ง กระทั่ง รัชกาลที่ 5 ยุบรวมเป็นกระทรวงเดียว คือกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) ก็โปรดให้ไปเป็นเสนาบดี เมื่อพระชนมายุเพียง 29-30 ปี
อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อทรงได้รับมอบหมายให้หยิบงานใด จับงานใด คนที่เป็นปราชญ์ ย่อมเกาะติดอย่างหนักแน่นและเอาจริงเอาจัง จะถนัดหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญคือภารกิจ ที่มีการมอบหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบราชการของไทยใหม่หมด ด้วยการตั้งกระทรวงขึ้นพร้อมกัน 12 กระทรวง ในวันที่ 1 เมษายน 2435 พระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ข้ามจากเสนาบดีกรมธรรมการ มาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และเป็นต่อมาจนสิ้นรัชกาลที่ 5 ในปี 2453 กระทั่งขึ้นแผ่นดินรัชกาลที่ 6 ก็ยังเป็นต่อมาอีก 5 ปี รวมแล้วเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยถึง 23 ปี ก่อนทำหนังสือลาออกจากราชการ ปี 2458
ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวถึงสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อทรงเห็นว่า สมเด็จฯ เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้กลับรับราชการใหม่ พอขึ้นสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯให้เป็นอภิรัฐมนตรี และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ท่านทรงยุติบทบาททางราชการโดยสิ้นเชิง
"ในพระราชโองการ รัชกาลที่ 7 เมื่อทรงสถาปนาท่านขึ้นเป็น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพระอิสริยยศสูงสุดที่จะพึงตั้งให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ คำประกาศพรรณนา มีคำสำคัญอยู่คำหนึ่ง คือ "ทรงเป็นหลักราชการ" ใครมีปัญหาอะไรต้องถามท่าน นอกจากนี้พระเกียรติคุณนี้แล้ว ยังสดุดีท่าน โดยบุชัดว่า ท่านทรงเชี่ยวชาญทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ภาษา ศาสนา รัฐประศาสนศาสตร์ กฎหมาย และการศึกษา ทั้งหมดอยู่ในสร้อยพระนามของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งไม่เคยไปเรียนเมืองนอกเลย"
ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวด้วยว่า สมเด็จฯ ทรงมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อการปกครองประเทศไทยทั้งระบบ ไม่เฉพาะกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น แต่ลงไปถึงกระทรวงอื่นๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในมิติที่เกี่ยวกับการปกครอง อีกทั้งยังเป็นเสนาบดีคนเดียวที่สนใจเรื่องการสอนคน ฝึกคน ซึ่งท่านเคยตรัสไว้ว่า แม้รัชกาลที่ 5 จะเปลี่ยนการปกครองให้เป็นสมัยใหม่ แต่ไม่ว่าแบบเก่าแบบใหม่ มีเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ต้องการทำให้คนอยู่ดี กินดี อยู่เย็น เป็นสุข
"แนวคิด อยู่เย็นเป็นสุขสมัยก่อนนั้น คืออย่ามีโจรผู้ร้าย น้ำอย่าท่วม แต่สมัยนี้เอาแค่นั้น เอาไม่อยู่ เพราะแม้จะไม่มีโจรผู้ร้าย น้ำไม่ท่วม คนก็อาจไม่อยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้คนมีกิน มีใช้ มั่งมี มีเงิน มีทอง สมเด็จฯ ท่านพูดเหมือนทุกวันนี้ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พูด เพียงแต่ท่านไม่ได้ใช้คำว่า พัฒนา เท่านั้นเอง"
