"ปฏิรูปประเทศไทย" ต้องก้ามข้ามรบ. ไม่ยึดแค่เวทีกลาง
"เลขาฯสช."ย้ำเป็นธุระของทุกคน ชี้การปฏิรูปปท.ต้องแก้ทั้งระบบ อย่าชูแค่บางประเด็น แนะรบ.หนุนงบจัดกระบวน-กลไกขับเคลื่อนอย่างยั่งยืน ติงขบวนขับยังไม่ครบองค์ จี้ดึงเอกชน-วิชาการ-การเมืองทุกฝ่ายร่วม พร้อมค้านตั้งองค์กรอิสระดูแล ยอมรับภาพปฏิรูปยังเบลอ เชื่อ20 พ.ค.นี้ ห่วงเป็นแค่เวทีถกปัญหา ด้าน "อดีตผจก.สสส." ระบุน่ายินดีหลายเครือข่ายตั้งใจร่วมปฏิรูป ติงอย่ามองขบวนทำงานซ้ำซ้อน ยันเป็นการเสริมแรงแก่กัน
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เปิดเผยกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึง กระบวนการการปฏิรูปประเทศ ว่า ขณะนี้ยังเห็นความไม่ชัดเจน โดยทราบว่าวันที่ 20 พ.ค. นี้ รัฐบาลจะจัดให้มีสมัชชาประชาชนว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปสังคม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดเวทีแรกของการขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศมีภาคประชาชนเข้าไปวางรูปแบบ
สำหรับความแนวคิดที่พยายามให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมก่อนจะมีการจัดตั้ง “สภาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” นั้น นพ.อำพล กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่มาจากภาคประชาชนอย่างเดียว ต้องมีภาครัฐ ภาคการเมือง รัฐสภา รัฐบาล ภาควิชาการ มหาวิทยาลัย องค์กรวิชาชีพ หน่วยงานต่างๆ ภาคเอกชน ทุกภาคส่วน ต้องเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่ง หลังจากนี้ รัฐบาลควรจะต้องมีการคิดเรื่องกลไกเพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ โดยกลไกนี้จะต้องมีความยั่งยืนด้วย เพราะวันหนึ่งถ้ารัฐบาลไม่อยู่ กลไกนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป
เลขาธิการ สช. กล่าวถึงการเป็นสภาประชาชนว่า ต้องวิเคราะห์ด้วยว่าประชาชนในประเทศไทยควรแบ่งเป็นกี่กลุ่ม มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มอย่างไรบ้าง ครบถ้วนแล้วหรือไม่ ในแต่ละพื้นที่ได้มีสิทธิและเสียงในการเข้าร่วมหรือไม่ แต่ละจังหวัดนั้นควรจะมีกลไกอะไรบ้างที่ไม่ใช่แค่รวมศูนย์ที่เป็นเวทีในส่วนกลางอย่างเดียว ซึ่งภาพขณะนี้สภาประชาชน ยังไม่ครบองคาพยพ เพราะการให้ประชาชนมาพูดคุยกันแล้วจะมาแก้ปัญหาได้นั้น ยังไม่เพียงพอ เวทีนี้ต้องให้ประชาชนแสดงปัญหาที่มีอยู่ให้ชัดเจนมากขึ้น จนนำไปสู่การสร้างนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ส่วนการจัดตั้งคณะกรรมการหรือองค์กร อิสระสำหรับดูแลเรื่องปฏิรูปประเทศไทยนั้น นพ.อำพล กล่าวว่า ควรปล่อยเป็นกลไกอิสระที่รัฐบาลเป็นเพียงเจ้าภาพสนับสนุนเรื่องงบ ประมาณและการจัดการ ไม่ตกอยู่ภายใต้การสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพราะการปฏิรูปนี้จะสัมพันธ์กับทั้งฝ่ายรัฐบาล รัฐสภา และทุกระบบ ขณะที่ คำว่า หน่วยงานอิสระก็ควรจะเป็นกลไกอิสระ ไม่จำเป็นต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ แต่ควรออกแบบเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ก้าวข้ามรัฐบาลและหาหน่วยงานเลขานุการที่ทำงานเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ดึงคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนมาร่วมเพื่อวางแผนในระยะยาว ดังนั้นฝ่ายเลขานุการต้องคล่องตัวเป็นหน่วยอิสระ แต่เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีการบริหารจากการสนับสนุนของรัฐ สร้างเป็นนโยบาย และทุกฝ่ายยอมรับได้
“ การปฏิรูปประเทศ ไม่ควรชูประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ต้องแก้ทุกระบบ มองการปฏิรูปที่โครงสร้าง เพราะถ้าไม่มองการปฏิรูปที่โครงสร้างให้เกิดความเป็นธรรมแก่คนเล็กคนน้อย แล้ว เมืองไทยจะรุนแรงและขัดแย้งกันมากขึ้น ยิ่งพัฒนาไป ทรัพยากรจะตกไปอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย อำนาจจะไปอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย คนส่วนใหญ่ของประเทศจะได้รับความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แล้วเขาจะลุกขึ้นมา เกิดปัญหาไม่รู้จบ”
นพ.อำพล กล่าวด้วยว่า ความจริงจังของ นายกรัฐมนตรี ที่อยากจะเริ่มนโยบายขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่หากทำไปสักระยะหนึ่งแล้ว ควรจะมีการจัดกลไกขับเคลื่อนโดยให้ประชาชนเอาใจใส่กับเรื่องนี้ว่าเป็นธุระของทุกคน โดยไม่คิดว่าเป็นเพียงเรื่องของใครคนหนึ่ง
ขณะที่ นพ.สุภกร บัวสาย อดีตผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงกระบวนการการปฏิรูปประเทศ ว่า ประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ดังนั้นจึงน่ายินดีที่มีหลายคนหลายกลุ่มพยายามปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ก็ปฏิเสธเมื่อมีคนยกให้ท่านเป็นหัวขบวน ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้การปฏิรูปนี้มีหลายๆกลุ่มเข้ามาเป็นเจ้าของจริงๆ
กรณีที่มีหลายองค์กรร่วมขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศไทย จะทำให้การทำงานซ้ำซ้อนกันหรือไม่ นพ.สุภกร กล่าวว่า ประเทศไทยกว้างใหญ่ไพศาล มีหลายปัญหา มีคนจำนวนมากอยากแสดงความคิดความเห็น จึงไม่น่ากังวัลว่า การทำงานจะซ้ำซ้อนกัน หากเรา พยายามองขบวนการปฏิรูปเป็นระบบราชการก็จะดูซ้ำซ้อน แต่หากมองว่า เป็นเครือข่ายแต่ละกลุ่ม ก็จะเป็นทำงานที่เสริมซึ่งกันและกัน
เมื่อมองถึงโครงสร้างกระบวนการปฏิรูป ประเทศนั้น อดีตผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องจัดโครงสร้างให้อึดอัด หากวงต่างๆ จัดกระบวนการแล้วมีสาระมีผลออกมาข้อเสนอต่างๆ ก็จะปรากฎขึ้นในสังคม ซึ่งก็จะมีการขานรับหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อเติมยกระดับขึ้นไปเอง หากวงไหนจัดกระบวนการแล้วขาดสาระก็ย่อมเหี่ยวแห้งไปเอง ซึ่งกลไกสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปที่มีหลายกลุ่มทำงานกันแบบเครือข่ายเสริม แรงซึ่งกันและกันได้ ก็คือการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร
นพ.อำพล กล่าวด้วยว่า ความจริงจังของ นายกรัฐมนตรี ที่อยากจะเริ่มนโยบายขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่หากทำไปสักระยะหนึ่งแล้ว ควรจะมีการจัดกลไกขับเคลื่อน โดย ให้ประชาชนเอาใจใส่กับเรื่องนี้ว่าเป็นธุระของทุกคน โดยไม่คิดว่าเป็นเพียงเรื่องของใครคนหนึ่ง
ขณะที่ นพ.สุภกร บัวสาย อดีตผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงกระบวนการการปฏิรูปประเทศ ว่า ประเทศไทยเป็นของเราทุกคน ดังนั้นจึงน่ายินดีที่มีหลายคนหลายกลุ่มพยายามปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งนพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ก็ปฏิเสธเมื่อมีคนยกให้ท่านเป็นหัวขบวน ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้การปฏิรูปนี้มีหลายๆกลุ่มเข้ามาเป็นเจ้าของจริงๆ
กรณีที่มีหลายองค์กรร่วมขับเคลื่อนการ ปฏิรูปประเทศไทย จะทำให้การทำงานซ้ำซ้อนกันหรือไม่ นพ.สุภกร กล่าวว่า ประเทศไทยกว้างใหญ่ไพศาล มีหลายปัญหา มีคนจำนวนมากอยากแสดงความคิดความเห็น จึงไม่น่ากังวัลว่า การทำงานจะซ้ำซ้อนกัน หากเรา พยายามองขบวนการปฏิรูปเป็นระบบราชการก็จะดูซ้ำซ้อน แต่หากมองว่า เป็นเครือข่ายแต่ละกลุ่ม ก็จะเป็นทำงานที่เสริมซึ่งกันและกัน
เมื่อมองถึงโครงสร้างกระบวนการปฏิรูป ประเทศนั้น อดีตผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องจัดโครงสร้างให้อึดอัด หากวงต่างๆ จัดกระบวนการแล้วมีสาระมีผลออกมาข้อเสนอต่างๆ ก็จะปรากฎขึ้นในสังคม ซึ่งก็จะมีการขานรับหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อเติมยกระดับขึ้นไปเอง หากวงไหนจัดกระบวนการแล้วขาดสาระก็ย่อมเหี่ยวแห้งไปเอง ซึ่งกลไกสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปที่มีหลายกลุ่มทำงานกันแบบเครือข่ายเสริม แรงซึ่งกันและกันได้ ก็คือการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร