ดร.วิโรจน์ ชี้ปฏิรูปปท.สังคมต้องเสียสละเฉือนเนื้อแบกรับภาษี
จี้รัฐนำกระพรวนไป ผูกคอแมว กล้าปรับภาษีทั้งระบบ ฉีกวัฒนธรรมยอมเฉือนเนื้อร่วมแบกรับภาษี ไม่ผลักให้คนอื่นแบกแทน หากต้องการสวัสดิการที่มีคุณภาพ-ทั่วถึง พร้อมแนะอีก 10-20 ปีต้องเก็บภาษีเพิ่มอีกเท่าตัว
วันนี้ (30 พ.ค.) ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ฝ่ายการวิจัยแผนงานเศรษฐกิจรายสาขา มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในเวทีประชุม “การปฏิรูปประเทศไทย: การสร้างความเป็นธรรม” จัดโดยสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า ว่า การจะแก้ไขความขัดแย้งในสังคมให้ยั่งยืนในระยะยาวด้วยสันติวิธีนั้น คงต้องอาศัยการปฏิรูปเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในสังคม
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า รากเหง้าของความขัดแย้งในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเดียว แต่มาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วย เกิดจากความไม่เท่าเทียมในการกระจายผลประโยชน์การพัฒนา บทบาทของรัฐในการกระจายรายได้และทรัพยากรที่น้อยเกินไป หรือบางครั้งรัฐก็มีส่วนในการเพิ่มความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากร
“ มาตรการสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการปฏิรูปและจำเป็นต้องมีผู้นำกระพรวนไป ผูกคอแมว การปรับเพิ่มภาษีในภาพรวม ไม่ใช่แค่ภาษีเฉพาะที่คนมักคิดว่า สามารถผลักภาระให้คนอื่นได้ อีกประมาณเท่าตัวใน 10-20 ปี การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานที่ครอบคลุมทุกคน ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การผลักดันกลไกหรือเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการหรือชุมชนให้มีส่วนร่วม เพื่อช่วยให้โครงการดีขึ้น แต่เราก็ไม่สามารถหวังให้กลไกหรือชุมชนเข้ามาทดแทนบทบาทของรัฐได้บางเรื่อง เช่น กรณีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เรียนฟรี เบี้ยยังชีพ ประกันสังคม”
ดร.วิโรจน์ กล่าวถึงระบบภาษีต้องปฏิรูปใหม่ ต้องเริ่มปรับอัตราโครงสร้าง สังคมต้องร่วมกันเสียสละเฉือนเนื้อแบกรับภาษี ต้องยอมชำแหละวัฒนธรรมของตัวเอง ไม่ใช่พึ่งหวังให้ใครคนใดคนหนึ่งมารับภาระแทน ใน ส่วนสร้างความเป็นธรรมที่จะเก็บภาษีมรดกหรือภาษีที่ดินนั้นก็ต้องทำไป ขณะเดียวกันควรเก็บภาษีเพิ่มจากทุกคน เนื่องจากรายได้ภาษีที่จัดเก็บได้ในปัจจุบันเป็น 16%ของจีดีพี ไม่เพียงพอต่อการจัดสวัสดิการที่มีคุณภาพและทั่วถึงได้ และภายใน 10-15 ปีข้างหน้าควรปรับเป็น 30-32% ของ จีดีพีอาจต้องใช้เงินประมาณ 3.3 ล้านล้านบาทในการ จัดสวัสดิการที่เพียงพอและมีคุณภาพทั่วถึงได้
“ถ้า ไม่มีรัฐบาลหรือใครทำเรื่องนี้ ต่อไปนโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองก็จะประชานิยมยิ่งขึ้น และในที่สุดจะไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องปรับขึ้นภาษี ที่สุดแล้วจะไม่มีใครกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมว สุดท้ายจะจบลงเหมือนเดิมที่ไม่สามารถปฏิรูปคุณภาพชีวิตได้อีก และควรยกเลิกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อสร้าง ความเป็นธรรมด้วย”
ส่วน สาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ผอ.วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตรฯ กล่าวว่า เกิดจากความสามารถ โอกาส ในการเข้าถึงสินเชื่อ ทรัพยากร และความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ การกระจายภาษี และการกระจายประโยชน์ของรัฐ พบว่ากลไกตลาดอาจจะมีประสิทธิภาพแต่ไม่ช่วยในการกระจายรายได้ งานวิจัยพบว่าการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของรัฐไม่ก้าวหน้า ไม่ช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้และทรัพย์สิน และสวัสดิการสังคมมีจำกัดไม่ทั่วถึง มีคุณภาพค่อนข้างต่ำ เช่น กรณีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่คนจำนวนมากไม่กล้าที่จะเข้ารับบริการ เป็นต้น
“ รัฐมีส่วนถ่วงและซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ เช่น รัฐมักจะเป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ การผูกขาดธุรกิจส่วนใหญ่มักเกิดจากอำนาจรัฐ ซึ่งเกิดจากการได้สัมปทานจากรัฐ นโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐมักทำให้เกิดค่าเช่าทางเศรษฐกิจกับนักธุรกิจรายใหญ่หรือนักการเมือง ฯลฯ”ดร.วิโรจน์ กล่าว และว่า ระบบภาษีและความเป็นธรรมด้านภาษีที่ผ่านมา พบว่า มีประชาชนประมาณ 9 ล้านคนที่จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 30ล้านคนที่ทำงาน การจัดเก็บภาษีทางตรงมี สัดส่วนค่อนข้างต่ำ ซึ่งตามหลักการปกติจะต้องมีลักษณะก้าวหน้า ขณะที่ภาษีทางอ้อมถดถอย ไม่ก้าวหน้าเนื่องจากคนจนบริโภคในสัดส่วนที่มากกว่าคนรวย เช่น คนจนมีเงินเดือน 1 หมื่นบาทก็จะบริโภคทั้งหมด เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 700 บาท ขณะที่ถ้าคนรวยมีรายได้ 2 หมื่นบาทก็บริโภคเพียงครึ่งของรายได้
ผอ.วิจัย ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตรฯ กล่าวถึงอัตราการเสียภาษี และอัตราเบี้ยประกันสังคมก็ถูกออกแบบให้ถดถอยแต่แรก คือ กำหนดเพดานที่รายได้ 15,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งคนที่มีรายได้มากกว่านี้ก็เสียภาษีเท่าเดิม ส่วนภาษีนิติบุคคลก็มีอัตราคงที่ของธุรกิจทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ นำสู่ประเด็นความไม่เป็นธรรมในสังคมได้ เป็นต้น ซึ่งทำให้คนชั้นกลางและระดับล่างต้องแบกรับภาระภาษีมากกว่าคนรวย
สำหรับ เรื่องการกระจายผลประโยชน์ของภาครัฐนั้น ผอ.วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตรฯ กล่าวว่า เอื้อให้กับคนชั้นกลาง หรือข้าราชการ ฯลฯ มากกว่ากลุ่มคนจน เช่น การสาธารณสุข การศึกษา ที่คนจนไม่สามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพได้ มีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบที่คนระดับล่างหรือในต่างจังหวัดสามารถเข้าถึงได้ แต่ไม่มีคุณภาพในการแข่งขันเพื่อศึกษาต่อ ขณะที่คนมีรายได้พึ่งการศึกษานอกระบบที่มีคุณภาพมากกว่า เช่นเดียวกับอุดมศึกษาที่ผู้เข้าถึงได้คือกลุ่มคนชั้นกลางหรือคนเมือง แต่คนจนต้องแบกรับภาระเงินกู้ยืมทางการศึกษา เนื่องจากอุปสรรคทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งเป็นระบบการศึกษาที่สร้างความเสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น เพราะคนจนเข้าถึงสิทธิได้ด้วยการเป็นหนี้
“ถ้าเราสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ก็จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ได้ในระยะยาว ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการศึกษาต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพเท่า เทียมกันทั่วประเทศ และต้องมีระบบการเก็บค่าใช้จ่ายอุดมศึกษาสัดส่วนรายได้จริงของผู้เรียน เน้นการให้ทุนทางการศึกษาแก่ผู้มีรายได้น้อยไม่ใช่ให้กู้ยืม และขจัดอุปสรรคทางการเงินในการเข้าถึงด้วย”
ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นมาก คนจนลดลง 52% ของทั้งประเทศ จนช่วงต้นๆ ของปี 2500 มี คนจนประมาณ 10 กว่าล้านคน และปัจจุบันมีคนชั้นกลางอยู่ในชนบทประมาณ 60% ต่าง จากอดีตที่คนชั้นกลางอยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 70% ทั้ง นี้ 10 ปีที่ผ่านมาคนชั้น กลางในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ตามการพัฒนาและการเพิ่มตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าคนจนจะลดลงแต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้กลับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งผลวิจัยด้านทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2549 พบว่า กลุ่มคนรวยระดับ 20% บนของประเทศ ถือครองทรัพย์สินคิดเป็น 69 เท่าของสัดส่วน ทรัพย์สินคนจนกลุ่ม 20% ล่างสุดของสังคม
เมื่อถาม ถึงความจำเป็นต้องปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผอ.วิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตรฯ กล่าวว่า เพราะ1.กลไกตลาดมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรและการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ไม่ได้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ 2.โลกา ภิวัตน์ช่วยเร่งการพัฒนาประสิทธิภาพเทคโนโลยี แต่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ และความคาดหวังของคนสูงขึ้น 3.ความสำเร็จ ของการพัฒนาทำให้เกิดชนชั้นกลางที่หลุดพ้นจากความยากจน โดยเฉพาะในชนบทและต่างจังหวัด ซึ่งมีความคาดหวังที่จะได้โอกาสยกฐานะความเป็นอยู่จากดอกผลของการพัฒนา หรือจากประชาธิปไตยที่กินได้ และ4.ในสังคมที่มีการ แข่งขันสูงขึ้น และมีกลไกอื่นๆ ให้พึ่งพิงน้อยลง จะมีคนจำนวนหนึ่ง โชคร้ายหรือพ่ายแพ้ จนอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง หรือโดยจำกัดความต้องการ พอเพียงหรือการบริโภคของตนเองลงไปอีกได้