“สภาองค์กรชุมชนตำบลบัวใหญ่” บวชป่า สืบชะตา ต่อลมหายใจลำน้ำแหง
ท่ามกลางกระแสธรรมชาติที่ผันแปรด้วยวิกฤติภัยพิบัติต่างๆ สภาองค์กรชุมชนตำบลบัวใหญ่ อ.นาน้อย จ.น่าน จัดงานบวชป่าสืบชะตาลำน้ำแหงเพื่อรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนและสืบชะตาลำน้ำแหงเส้นเลือดใหญ่ของชุมชน
26-27 ก.ค.53 ตรงกับวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา สภาองค์กรชุมชนตำบลบัวใหญ่ได้ทำพิธีบวชป่าสืบชะตาลำน้ำแหง โดยใช้วิถีศาสนาพุทธที่ทุกคนยึดมั่นเป็นตัวเชื่อมโยง มีพิธีทางสงฆ์ การสวดชยันโต พรมน้ำมนต์และการให้คำปฏิญาณในชุมชนที่จะดูแลต้นไม้ที่ตนเองปลูกและไม่ล่าสัตว์ป่าในพื้นที่ โดยพิธีดังกล่าวมีการปลูกป่าจำนวน 2,000 ต้น ได้แก่ต้นประดู่ ต้นไผ่ ต้นเหียง ต้นมะไฟ จีน ซึ่งบริเวณที่ปลูกป่านั้นอยู่ต้นลำน้ำแหง และพิธีบวชป่าผืนใหญ่ใน 8 หมู่บ้านได้รับความร่วมมือจาก กศน. กรมการปกครองนาน้อย สภาวัฒนธรรมอำเภอ โรงเรียนชุมชนบ้านอ้อย อุทยานแห่งชาติขุนสถาน
ดุจเดือน ศรสีดา เยาวชนในพื้นที่เปิดเผยว่า รู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดบ้าง เพราะปีนี้ลำน้ำแหงแห้งมาก อยากทำประโยชน์ให้บ้านเกิดมากกว่านี้ ซึ่งได้คิดกิจกรรมต่อยอดจากการปลูกป่าครั้งนี้คือจะรวมตัวกันสร้างฝายชะลอน้ำที่ต้นลำน้ำแหง และร่วมกันรณรงค์ไม่ให้คนในพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มมากขึ้น โดยต้นไม้ที่ตนเองเลือกปลูกในครั้งนี้คือต้นมะไฟจีน เพราะอร่อยและกินได้ และเมื่อต้นไม้นี้เติบโตขึ้นมาก็สามารถเป็นอาหารของสัตว์ป่าอีกด้วย
นางศิริลักษณ์ คำชมพู นายกหญิงกาชาด บอกถึงแนวคิดในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า อยากให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของลำน้ำแหงและช่วยกันดูแลรักษาลำน้ำไม่ให้ป่วยไปมากกว่านี้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายอำเภอนาน้อยที่อยากจะฟื้นฟูลำน้ำแหงให้มีพื้นที่ชุ่มน้ำมากขึ้น อนุรักษ์และปลูกต้นไม้ริมฝั่งเพื่อเรียกน้ำกลับคืนมาสู่ชุมชน และกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งในการปลุกกระแสชาวบ้านให้เกิดความรักหวงแหนลำน้ำของตน และได้มีพิธีกรรมตามความเชื่อโดยการสาบานตนว่าใครไปทำร้ายลำน้ำแหงก็อาจจะเกิดสิ่งไม่ดีกับตนเอง และการลงมือปลูกต้นไม้ด้วยตนเองนั้นคนในชุมชนจะรู้สึกหวงแหน ผูกพันธ์ และจะช่วยกันดูแลต้นไม้ที่ตนเองปลูก ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ตระหนักถึงการดูแลรักษาป่าไม้ทางอ้อมอีกด้วย
สำหรับผู้สนับสนุนพันธุ์กล้าไม้ต่างๆ นายฉัตรชัย โยธาวุฒิ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนสถาน ได้กล่าวถึงปัญหาลำน้ำแหงว่า ส่วนใหญ่เกิดจากคน เมื่อคนเยอะขึ้นความต้องการในพื้นที่เกษตรกรรมก็เพิ่มมากขึ้น การต้นตัดไม้เพื่อทำเกษตรกรรมและก็แผ่ขยายเพิ่มมากขึ้น เพราะคนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของลำน้ำ แต่เมื่อสภาองค์กรชุมชนตำบลบัวใหญ่เข้ามามีบทบาทในการรณรงค์หลายครั้ง ทำชาวบ้านเริ่มเข้าใจ โดยใช้วิธีทำความเข้าใจในจุดเล็กๆก่อนและขยายผลไปเรื่อยๆ ตนรู้สึกยินดีที่ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ ซึ่งตรงกับทางนโยบายของทางอุทยานอยู่แล้วคือเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและดูแลรักษาทรัพยากรร่วมกัน เพราะหัวใจของการรักษาป่าคือคนชุมชนจะต้องรักป่าก่อนเพราะป่าใหญ่คือบ้านของทุกคน
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนสถาน ยังบอกว่าการที่ชาวชุมชนรวมตัวกันขอขยายพื้นที่เขตอุทยานเพิ่มเติมนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่การของขยายเขตพื้นที่อุทยานคงต้องจัดเวทีสาธารณะเพื่อทำความเข้าใจ ถ้าคนในชุมชนเห็นความสำคัญของการขยายเขตอุทยานเองตนเอง รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีที่ชาวชุมชนเจ้าของพื้นที่ลุกขึ้นมาจัดการตนเอง สำหรับการแก้ปัญหาการทำไร่เลื่อนลอยนั้นจะมีโครงการหลวงเข้ามาช่วย และเมื่อคนในชุมชนมีโฉนดชุมชนก็จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้มาก
เมื่อคนในชุมชนตำบลบัวใหญ่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาในพื้นที่ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนการใช้ยารักษาโรคที่ตรงจุดโดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นตัวขับเคลื่อน ใช้วิธีร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์ และร่วมรับผิดชอบ เป็นหนทางสู่การเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆในชุมชนและฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นไปสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืน .
ที่มา : สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) http://www.codi.or.th/webcodi/index.php?option=com_content&task=view&id=3188&Itemid=2