กรอบความคิดใหญ่ในการบริหารจัดการน้ำในภาคอีสาน
"หากเรามองย้อนอดีต จะเห็นว่าชาวอีสานมีวิธีจัดการน้ำ จัดการความแห้งแล้งได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่นิเวศโดยสอดคล้องและเกื้อหนุนกับวิถีชีวิต แต่ทุกวันนี้ภูมิปัญญาดังกล่าวกำลังถูกบดบังเบียดแทรกให้ออกไปจากสังคมอีสาน และยัดเยียดระบบการจัดการน้ำแบบต่างๆที่รัฐบาลสรรหามาให้โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของนิเวศอีสานแม้แต่น้อย"
อีสาน แม้จะเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อยิ่งนัก (สำหรับคนภายนอกที่ไม่เข้าใจนิเวศอีสาน)ในเรื่องของความแห้งแล้ง เพราะโครงสร้างของดินในภาคอีสานส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะเป็น "ดินหุ้มเกลือ" โดย เฉพาะบริเวณที่เป็นแอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร เนื่องจากมีชั้นเกลือใต้ดินอยู่ในปริมาณมหาศาลประมาณ ๑๘ ล้านล้านตัน ซึ่งเป็นลักษณะดินที่ไม่เหมาะต่อการทำเกษตรเลยโดยเฉพาะฤดูแล้งที่จะมีสภาพ ของดินแห้งแตกระแหงมาก และไม่อุ้มน้ำ ปล่อยให้น้ำระเหิดไปในอากาศและไหลซึมลงใต้ดินอย่างรวดเร็วสาเหตุหนึ่งซึ่ง น่าจะเป็นสมมติฐานที่สำคัญได้ก็คือ "เกลือใต้ดินมีสภาพเป็นตัวดูดซับความชุ่มชื้นโดยตัวมันเอง" คล้ายๆกับสารดูดความชื้น (Desiccant) หรือการทำฝนเทียม ซึ่งเกลือใต้ดินเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความชุ่มชื้นของดินถูกดูดซับลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
แต่หากเรามองย้อนอดีตเป็นต้นมา ก็จะเห็นว่าชาวอีสานมีวิธีการจัดการน้ำ จัดการกับความแห้งแล้งได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่นิเวศโดยสอดคล้องและเกื้อหนุนไปกับวิถีชีวิต เช่น
การจัดการน้ำในพื้นที่โคกแบบหัวไร่ปลายนา หรือบริเวณที่มีลักษณะคล้ายคูดินที่โอบอุ้มที่ราบไว้ ชาวบ้านจะนิยมขุดบ่อน้ำ หรือขุดสระ เพื่อใช้ในการเพาะปลูกพืชผักสวนครัวที่อายุสั้น เช่น พริก มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว มะละกอ ฯลฯ ในฤดูแล้งตลอดจนปลูกไม้ยืนต้นและเลี้ยงปลา
การจัดการน้ำในพื้นทุ่ง ซึ่งปลูกข้าวเป็นพืชหลัก โดยมีการซอยพื้นที่ออกเป็นช่วงๆ และคั่นด้วยคันดิน(คันนา) เพื่อกักเก็บน้ำ ซึ่งคันนาจะเป็นระบบการจัดการน้ำรูปแบบหนึ่งที่ตอบสนองการใช้ประโยชน์อย่าง มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ เมื่อน้ำมากน้ำจะไหลล้นคันนาออกไปทางช่องระบายน้ำที่เจาะไว้ หากน้ำน้อย น้ำก็จะถูกปิดขังเพื่อเก็บน้ำไว้ในแปลงนา โดยความสูงของคันนาขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของการจัดการน้ำของคนอีสานเท่านั้น หากแต่ทุกวันนี้ภูมิปัญญาดังกล่าวกำลังถูกบดบังและเบียดแทรกให้ออกไปจากสังคมคน อีสาน และยัดเยียดระบบการจัดการน้ำแบบต่างๆที่รัฐบาลสรรหามาให้โดยไม่คำนึงถึงความ เหมาะสมของนิเวศอีสานแม้แต่น้อย เช่น โครงการผันน้ำโขงเลย-ชี-มูล โดยแรงโน้มถ่วงโลก หรือ โครงการ ผันน้ำงึม?ห้วยหลวง-หนองหาน-ลำปาว-ลำชี โดยรัฐบาลเองไม่เคยกลับไปทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาจากโครงการผันน้ำเลย
ประเด็นนี้น่าสนใจตรงที่ "เกลือใต้ดินเป็นผลทำให้โครงสร้างหรือลักษณะของดินอีสานกลายสภาพเป็นดินปนทรายหรือ ดินอื่น ๆ ที่ไม่อุ้มน้ำหรือไม่มีความชุ่มชื้นอยู่บนหน้าดิน" หรือ "ลักษณะของดินอีสานเป็นอยู่ก่อนแล้วหรือเป็นอยู่โดยตัวมันเองแม้ไม่มีเกลือใต้ดินก็ตาม" ดังนั้นประเด็นที่สำคัญมากในเรื่องดินและเกลือในภาคอีสานก็คือ
๑."จะจัดการน้ำอย่างไรให้เหมาะสมกับดิน" หากลองแบ่งเขตสภาพดินอีสานจะได้เป็น ๖ เขตภูมินิเวศใหญ่ ๆ คือ
(๑)ภูมิ นิเวศเทือกเขา เช่น เทือกเขาภูพาน เทือกเขาพนมดงรักและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ที่แยกภาคอีสานออกจากภาคกลางและตะวันออก รวมถึงที่ราบบนเทือกเขาที่มีลักษณะ "ภูหลังแป" และที่ราบเชิงเขาทั้งหลายด้วย โครงสร้างของดินบริเวณนี้จะมีเกลือในชั้นใต้ดินน้อยมาก
(๒)ภูมินิเวศทุ่ง บุ่ง ทาม กุด หนอง ริมแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ทั้งหลายในภาคอีสาน
(๓)ภูมิ นิเวศแอ่งหรือที่ราบของแอ่งโคราชและสกลนคร คือพื้นที่ที่ต่อเนื่องจากพื้นที่ริมแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ทั้งหลายของภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าทุ่ง บุ่ง ทาม ริมแม่น้ำตามที่กล่าวในข้อ (๒)
(๔)ภูมิ นิเวศที่ราบลอนคลื่นสลับโคก/เนิน ที่ยังคงมีสภาพป่าโคกอุดมสมบูรณ์และที่กำลังเสื่อมโทรมจากการขยายพื้นที่ ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น เป็นพื้นที่ที่สูงกว่าพื้นที่แอ่งโคราชและสกลนครในข้อ (๒) และ (๓) มีลักษณะเป็นภูเขาหรือเนินเขาเตี้ย ๆ และระบบนิเวศเป็น "ป่าโคก" ซึ่งพื้นที่นี้มีความสำคัญต่อระบบน้ำใต้ดินและการผุดขึ้นมาของเกลือแพร่กระจายอยู่บนผิวดิน เพราะเป็น "Recharge Area" หรือพื้นที่เติมน้ำลงไปใต้ดิน ซึ่งเป็นผลควบคุมการแพร่กระจายของเกลือใต้ดินขึ้นมาบนผิวดินไม่ให้อยู่ในระดับรุนแรง
(๕)ภูมิ นิเวศที่ราบลอนคลื่นสลับโคก/เนินที่เสื่อมโทรมแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่คือพื้นที่ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง รวมทั้งยางพาราที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วงประมาณ ๑๐ ปีมานี้ ที่สภาพป่าโคกได้ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว
(๖)ภูมินิเวศริมแม่น้ำโขงตลอดแนวชายแดนไทย-ลาว จากจังหวัดเลยจนถึงอุบลราชธานีซึ่งภูมินิเวศจากข้อ
(๒) - (๖) คือบริเวณที่มีการแพร่กระจายของชั้นเกลือใต้ดิน คำถามสำคัญก็คือ "เราจะใช้รูปแบบการบริหารจัดการน้ำทั้ง ๖ ภูมินิเวศดังกล่าวด้วยรูปแบบเดียวกันหรือต่างกัน ?" ทั้ง ๆ ที่ ๖ ภูมินิเวศนี้มีความต้องการน้ำ รูปแบบการใช้น้ำ กิจกรรมการผลิต และภูมินิเวศที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นพื้นที่เติมน้ำ(Recharge area) พื้นที่ส่งผ่านน้ำ (Tran mission area) และใช้น้ำ (Discharge area) ของ ระบบน้ำใต้ดินและควบคุมการแพร่กระจายดินเค็มต่างกัน ในขณะนี้เป็นรูปแบบหรือโครงการพัฒนาของรัฐที่ไม่ตอบสนองหรือสอดคล้องกับภูมิ นิเวศในแต่ละเขตพื้นที่ และไม่มุ่งหวังในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับเกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นโครง สร้างสังคมหลักของภาคอีสานแต่อย่างใด หากแต่เป็น "การบริหารจัดการน้ำ/การผันน้ำเพื่อพัฒนาที่ดินให้กับเกษตรแปลงใหญ่" เสียมากกว่า
๒. ค่าน้ำ
๒.๑ โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ด้อยประสิทธิภาพ
โครงการโขงชีมูล[1]คือโครงการต่อขยายมาจากโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า[2] เพื่อต้องการยกระดับน้ำในแม่น้ำสายต่าง ๆ ให้สูงขึ้นด้วยการสร้างเขื่อนหรือฝายเพื่อที่จะให้สูบน้ำด้วยไฟฟ้าได้ง่าย ขึ้น โดยเฉพาะฤดูแล้ง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการทำนาฤดูแล้งแก่เกษตรกรว่าน้ำจะพอใช้ไม่ขาด แคลน
จากตัวเลขเมื่อปี 2542 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานได้จัดตั้งโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้ากระจายไปทั่ว ประเทศ โดยจำนวนสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่ได้ติดตั้งมาตั้งแต่ปี 2516 - 2542 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,984 สถานี มีพื้นที่ส่งน้ำรวม 3,073,766 ไร่ หากกล่าวเฉพาะในภาคอีสานมีสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 975 สถานี มีพื้นที่ส่งน้ำรวม 1,522,884 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 22 ของพื้นที่ชลประทานทั้งหมดในภาคอีสาน (พื้นที่ชลประทานในภาคอีสานเมื่อปี 2541 ประมาณ 6.8 ล้านไร่)
นับตั้งแต่มีสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าแห่งแรกในภาคอีสานเมื่อปี 2510 จนมาถึงปี 2542 มีพื้นที่ทำการเกษตรฤดูแล้งจาก โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าในภาคอีสานอยู่ในอัตราเฉลี่ยเพียงร้อยละ 14 ของพื้นที่ส่งน้ำเท่านั้น หรือหากคิดพื้นที่ส่งน้ำโดยเฉลี่ย 1,500 ไร่ ต่อ 1 สถานีสูบน้ำ จะมีพื้นที่ที่ทำการเกษตรเพียง 210 ไร่ เท่านั้น
ตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา พื้นที่ส่งน้ำจากโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นจาก 1,000 ไร่ เป็น 1,522,884 ไร่ ในปี 2542 แต่ปรากฏว่าการใช้น้ำของเกษตรกรในภาคอีสานในพื้นที่ส่งน้ำเติบโตช้ามาก อัตราการเติบโตเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 14 เท่านั้น
นี่คือตัวเลขที่ได้ทำการวิเคราะห์เอาไว้ตั้งแต่ปี 2543 แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าได้มีการใช้พื้นที่ทำการเกษตรฤดูแล้งจากสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าในภาคอีสานสูงขึ้นแต่อย่างใด
โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานและรัฐบาล ประกาศถึงความสำเร็จตลอดมาแท้จริงแล้วประสิทธิภาพและความสำเร็จถูกประเมิน จากการขยายสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าและพื้นที่ส่งน้ำเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวคิดของ "การจัดหาน้ำ" ไม่ใช่ "ความต้องการน้ำ" ที่แท้จริงของเกษตรกร
จุดมุ่งหมายที่สำคัญ 2 ประการ ของโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้านั่นก็คือ หนึ่ง-หาน้ำมาให้เกษตรกร และสอง-ต้องบริหารและส่งเสริมการใช้น้ำให้ได้ตามเป้าหมายด้วยการ "ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต" เนื่อง จากว่าเกษตรกรจำเป็นต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสูบน้ำ ดังนั้น จะต้องปลูกพืชเศรษฐกิจที่ขายได้ราคาดี ไม่ใช่ปลูกข้าวเพียงชนิดเดียว โดยจะต้องทำการปรับรูปแบบการเพาะปลูกของชาวบ้านให้เหมาะสมสำหรับเกษตร อุตสาหกรรม และเหมาะสมกับการวางแผนการใช้น้ำของโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ด้วยการส่งเสริมการปลูกพืชอย่างมะเขือเทศ ข้าวโพดฝักอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ไผ่ตง เมล็ดพันธุ์ผักและผลไม้ในท้องถิ่นข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด พริก ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และงา เป็นต้น แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่โครงการอีสานเขียว เมื่อประมาณปี 2529 จนถึงปัจจุบัน กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เนื่องจากภาวะหนี้สินของเกษตรกรที่หันมาปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ แต่กลับขายไม่คุ้มทุน
ดังนั้นเอง โครงการอุโมงค์ผันน้ำโขงจะใช้สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเหมือนโครงการโขงชีมูล หรือว่าจะใช้ท่อส่งน้ำก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องไม่ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาวะหนี้สินจากการจ่าย ค่าไฟฟ้าสูบน้ำหรือค่าท่อส่งน้ำ และจากการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจของรัฐและขายไม่ได้ราคา ถ้าไม่เช่นนั้นโครงการอุโมงค์ผันน้ำโขงก็คงจะล้มเหลวเหมือนโครงการโขงชีมูล อย่างแน่นอน
๒.๒ ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำของไทย
เมื่อดูเนื้อหาสาระในร่างกฎหมายน้ำด้วยแล้ว ยิ่งน่าหนักใจแทนเกษตรกรชาวอีสาน เพราะหากร่างกฎหมายนี้ผ่านออกมาบังคับใช้ จะทำให้น้ำทั้งหมดเป็นของรัฐ และจะวางมาตรการจัดเก็บค่าน้ำกับเกษตรกรและภาคการผลิตอื่น ๆ โดยการแบ่งประเภทการใช้น้ำออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) การใช้ในครัวเรือนและเกษตรกรรมแบบยังชีพ 2) การใช้เพื่ออุตสาหกรรม ธุรกิจ เกษตรเชิงพาณิชย์และท่องเที่ยว และ 3) การ ผันน้ำข้ามลุ่มน้ำและการสร้างเขื่อน โดยทุกประเภทจะต้องทำการขอใบอนุญาตใช้น้ำหรือการกำหนดราคาค่าน้ำนั่นเอง ซึ่งหลักการในร่างกฎหมายน้ำดังกล่าวเป็นการ "ส่งเสริมการแข่งขันในการใช้น้ำ" เป็น การวางกติกาในลักษณะที่ให้โอกาสและสิทธิแก่กลุ่มใช้น้ำประเภทใดก็ตามที่มี เงินจ่ายค่าน้ำมากกว่าน้ำก็จะตกเป็นของกลุ่มใช้น้ำประเภทนั้น แต่เนื่องจากโครงสร้างสังคมอีสานเป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีผืนดินทำการผลิต แปลงเล็ก ๆ จะมีความสามารถจ่ายค่าน้ำได้หรือไม่
๓. โครงสร้างสังคมอีสานเป็นเกษตรกรรายย่อย
จากข้อมูลการใช้ที่ดินทางการเกษตรของประเทศไทย เมื่อปี 2548 ของกรมเศรษฐกิจการเกษตร ในส่วนของภาคอีสานนั้นมีเนื้อที่ทั้งหมด 105,533,963 ไร่ แบ่งเป็นเนื้อที่ป่าไม้ 17,559,813 ไร่ เนื้อที่นอกการเกษตร 30,224,622 ไร่ และเนื้อที่ถือครองทางการเกษตร 57,749,528 ไร่ มีจำนวนครัวเรือนเกษตรกร 2,695,471 ครัวเรือน หรือประมาณ 10 ล้านกว่าคน เฉลี่ยแต่ละครัวเรือนมีพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 21 ไร่ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าโครงสร้างภาคเกษตรของภาคอีสานมีลักษณะเป็น "เกษตรกรรายย่อย" ไม่ได้มีลักษณะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่
ดังนั้นเราทุกควรกลับไปมองบทเรียนที่ผิดพลาดจากโครงการผันน้ำที่ผ่านมา และลองวิเคราะห์ดูว่าโครงการผันน้ำต่างๆที่กำลังจะเข้ามาในภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็น โครงการผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูล โดยแรงโน้มถ่วงของโลก หรือโครงการผันน้ำงึม-ห้วยหลวง-หนองหาน-ลำปาว-ลำชี ที่ภาครัฐทั้งหลายผลักดันกันอย่างเต็มที่นั้นจะทำให้คนอีสานสุขหรือทุกข์กัน แน่?
………………………………………………………………..
[1] โครงการ โขง-ชี-มูล เป็นบทเรียนจากโครงการผันน้ำที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน อนุมัติตั้งแต่สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมครม.สัญจรที่ จ.ขอนแก่นในวันที่ 8 เมษายน 2532 โครงการโขง-ชี-มูล มีเป้าหมายจะส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมถึง 4.98 ล้านไร่ในพื้นที่ 15 จังหวัด กำหนดแผน เป็น 3 ระยะรวม 42 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2576 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 228,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการจะประกอบด้วยการก่อสร้างระบบสูบน้ำจากแม่น้ำโขง คลองผันน้ำ สร้างฝาย และเขื่อน และระบบจ่ายน้ำสู่ไร่นา ทั้งในแม่น้ำชี และแม่น้ำมูล
[2] โครงการ โขง-ชี-มูล ได้วางระบบกักเก็บน้ำและกระจายน้ำเอาไว้ ๒ ส่วนคือส่วนแรกเป็นส่วนของการผันน้ำและเขื่อน/ฝายเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ ส่วนที่ สองคือการกระจายลงสู่พื้นที่การเกษตรของประชาชนด้วยโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ซึ่งเกษตรกรจะต้องเสียค่าสูบน้ำด้วยไฟฟ้าร่วมกับภาครัฐซึ่งเป็นเจ้าของ โครงการไม่ใช่การได้น้ำใช้เปล่าๆ โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าสูบน้ำจากหน่วยงานของ รัฐในอัตราหน่วยละ 1.17 บาท แต่กลุ่มเกษตรกรผู้ใช้น้ำจะต้องจ่ายในอัตราหน่วยละ 60 สตางค์เท่านั้น ตามจำนวนที่ปรากฏในมิเตอร์ของ กฟภ.
ที่มา : http://prachatham.com/detail.htm?code=n1_17082010_01