ลดอาการเสียดแทงใจดำ พลังบวกเล็งปรับโฆษณา“ขอโทษประเทศไทย”
จากเนื้อเรื่อง “ขอโทษประเทศไทย” เป็น “อย่ามองข้ามพลังบวกในตัวคุณ” โฆษกเครือข่ายพลังบวกเผย เนื้อเรื่องจะอ่อนลง ไม่ทำให้คนสะอึกเช่นเดิม ขณะที่นายกฯอภิสิทธ์ เปิดดูแล้ว มองบวกเป็นเจตนาดีของผู้จัดทำต้องการกระตุ้นเตือนให้ทุกฉุกคิด รับผิดชอบ
วันนี้ (19 ก.ค.) เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการเซ็นเซอร์ ซึ่งมาจากตัวแทนโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ มีคำสั่งไม่ให้นำภาพยนตร์โฆษณาชุด “ขอโทษประเทศไทย” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ว่า ตนเคยดูโฆษณาดังกล่าวทางอินเตอร์เน็ตมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเข้าใจเจตนาที่ดีของผู้จัดทำว่าต้องการที่จะกระตุ้นเตือนว่าพวกเราทุกคนมีส่วนในการรับผิดชอบได้ต่อสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็มาแก้ไขให้ดีขึ้น แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้มีส่วนสร้างปัญหา แต่ก็ต้องฉุกคิดเหมือนกัน เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาของสังคมและของประเทศในปัจจุบันก็มีที่มาจากเกือบทุกวงการซึ่งต้องทำหน้าที่ของตัวเอง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบเหตุผลของผู้ที่สั่งห้ามไม่ให้โฆษณาชุดนี้ถูกนำมาออกอากาศ เพราะปัจจุบันกลไกตรงนี้จะเป็นกลไกของทางสถานี ซึ่งได้สอบถามนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว นายองอาจบอกว่ายังไม่ได้รับทราบเหตุผลว่าที่เขาตัดสินใจอย่างนั้นว่าเป็นเพราะอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้คณะกรรมการฯ ทบทวนเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าขณะนี้สังคมก็พูดชัด ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวคงต้องออกมาชี้แจงความคิดของตัวเองก่อน รวมถึงน่าจะลองไปรับฟังและทบทวนดู แต่โดยปกติ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทางราชการจะเป็นผู้เข้าไป เพราะไม่อยากจะเข้าไปแทรกแซง แต่จะให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการฯ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นฝ่ายวิชาการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีการอ้างว่าเนื้อหาของโฆษณานี้มีความเข้มข้นในเรื่องของการเมืองมากเกินไป นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนที่ตนดูไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย
ขณะที่นายปรเมศวร์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด หรือเจ้าของเว็บไซต์กระปุกดอทคอม ในฐานะผู้จัดการเครือข่ายพลังบวก ให้สัมภาษณ์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงกรณีดังกล่าว ว่า โฆษณาชุด ขอโทษประเทศไทย ที่จะเผยแพร่ในฟรีทีวีนั้น ประเด็นแรกที่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ คือ เนื้อหาเสี่ยงต่อการโดนฟ้องร้องหมิ่นประมาท และมีประเด็นการสื่อสารที่รุนแรง ซึ่งล่าสุด เข้าใจว่า มีขั้นตอนเอกสารที่อาจจะไม่ครบถ้วน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต หรือหากทางคณะกรรมการฯ จะให้แก้ไขโฆษณาชุดนี้ ก็จะนำกลับมาแก้ไขภาพบางภาพ และนำเสนอเรื่องเข้าไปอีกครั้ง โดยขณะนี้สามารถดูได้ทางอินเทอร์เน็ตและเคเบิลทีวี
“โฆษณาชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ที่กระตุ้นให้เกิดความคิดและตระหนักว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ เป็นประเด็นที่ปลุกกระแสสำนึก และช่วงที่สอง บอกถึงว่า เราสามารถลุกขึ้นมาแก้ไขตรงนี้ได้เอง ซึ่งหลังจากนี้ คงมีการปรับปรุงเล็กน้อยก่อนนำเสนออีกครั้ง เนื่องจาก โฆษณาชุด ขอโทษประเทศไทย เป็นแคมเปญแรกของเครือข่ายพลังบวก จึงอยากทำให้ดีที่สุด คาดว่าน่าจะมีเวอร์ชั่นที่ได้ออกอากาศทางฟรีทีวีได้แน่นอน และทางกลุ่มเครือข่ายพลังบวก จะมีการสื่อสารแคมเปญอื่นออกมาอีกในระยะต่อไป”
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์โฆษณาชุดว่า มีเจตนาดีนั้น นายปรเมศวร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่นายกฯ เห็นด้วยและชื่นชม ซึ่งขอขอบคุณที่นายกฯ เข้าใจ โดยทางตนเองและทีมงานอยากให้คณะกรรมการฯ ทบทวน พิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้คนไทยได้ดูโฆษณาจากเครือข่ายพลังบวกชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านนายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโชว์ไร้ขีด (Show No Limit) ในฐานะโฆษกเครือข่ายพลังบวก กล่าวถึงการสั่งห้ามไม่ให้โฆษณาชุดนี้ออกอากาศ พร้อมกับยอมรับว่าเป็นกระแสมากในขณะนี้ แต่เมื่อผลของคณะกรรมการฯ ยังไม่ผ่าน สิ่งที่ทำได้คือ นำโฆษณาชุดนี้ไปใส่ไว้ในอินเทอร์เน็ต และตั้งกระทู้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายทางเว็บไซต์พันธ์ทิพ จากนี้ทางเครือข่ายพลังบวกมีแนวคิดจะทำโฆษณาตัวใหม่ จากเนื้อเรื่อง “ขอโทษประเทศไทย” เป็น “อย่ามองข้ามพลังบวกในตัวคุณ” เพื่อเล่าเรื่องกระบวนการว่า ใครก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ โดยเนื้อเรื่องจะอ่อนลง ไม่ทำให้คนสะอึกเช่นเดิม
“โฆษณาชิ้นงานต่อไป จากที่ประชุมของเครือข่ายพลังบวกได้ผ่านการเห็นชอบแล้ว เพราะจากโฆษณาตัวแรกที่ต้องการสร้างความตระหนักร่วม ต่อไปจะพูดถึงมวลรวม ไม่ได้พูดเพียงเสื้อเหลือง-แดง แต่พูดทั้งกระบวนการ ทุกสังคม เน้นการปลุกพลังบวกในตัว โดยไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ทำเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือกระตุ้นร่วมกันจากปัญหาใหญ่ของชาติ คือ ปากหนัก ไม่พูดคำขอโทษ ไม่พูดคำขอบคุณ ที่ส่งผลให้ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่”
สำหรับโครงการต่อไป Ignite Thailand เครือข่ายพลังบวก นายพงศ์สุข กล่าวว่า จะมีการไปจัดงานที่อ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ จ.เชียงใหม่ ใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งไม่ได้ทำเชิงพาณิชย์ แต่จะผลักรูปแบบเดียวกันทั้งโลก และในอนาคตจะเปลี่ยนชื่อเป็น การปลุกพลังบวก ให้เป็นชื่อแบบไทย เพื่อให้เข้าถึงในชุมชน ทุกๆสังคม ที่ไม่ใช่เพียงการรวมตัวของคนชั้นกลางเท่านั้น แต่จะกระจายสู่คนกลุ่มอื่นๆด้วย
