แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ปฏิรูปประเทศ รัฐเปิด “ช่องทางด่วน” แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ช่วงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศแผนโรดแมป 5 ข้อ นำสู่ความปรองดอง ความรู้สึกของคนไทยในประเทศ ในสังคมโดยรวม รู้สึกดี มีความหวัง
ทันทีเช่นกันที่แกนนำ นปช. “พลิ้ว” ไม่ตอบสนองเงื่อนไขรัฐบาล แถมยังโยนเงื่อนไขกลับไปให้รัฐบาลอีก คนไทยส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้สึกว่า ไม่จบสักที เวลานี้มีคนบอกว่า “ยังไงก็ต้องทำ บาดเจ็บล้มตายก็ช่าง” ซึ่งเสียงเชียร์ให้ใช้ความรุนแรงนี้เองในสายตาของนักสันติวิธี มองว่า ไม่ใช่อาการที่ดี เพราะไม่ก่อประโยชน์ให้กับใครเลย
และแม้ว่า โปรแกรมการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.ถึงวันนี้จะล้มไม่เป็นท่า เพราะอีกฝ่ายไม่ยุติการชุมนุม แต่สำหรับกระบวนการปรองดอง โดยเฉพาะหัวใจสำคัญ “ปฏิรูปประเทศไทย” แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจน โครงสร้างของสังคมที่ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกตัวเองด้อยโอกาส และไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ยังเดินหน้าต่อ...
กลไกขับเคลื่อน “ปฏิรูปประเทศไทย” ชัดเจนสิ้นเดือน
ในเวทีระดมความเห็นของตัวแทนเครือข่ายประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมหาแนวทางดำเนินการและวิธีการเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่จัดโดยคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงหัวใจสำคัญของการปฏิรูป คือ การสร้างโอกาสแก่ประชาชน ย้ำชัดถึงเรื่องเร่งด่วน คือ สร้างกลไก และกำหนดประเด็นการทำงานให้ชัดเจน เพื่อให้คนไทยมีที่ยืน และไม่ทำให้เป็นเงื่อนไขหนึ่งของความขัดแย้งในสังคมตามมาอีก
ส่วนกลไกในการตั้งคณะกรรมการปฎิรูปประเทศไทย และการกำหนดประเด็นการทำงานเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว จะมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐทำหน้าที่อำนวยการร่วมกับภาคประชาชนในประเด็นการปฏิรูปประเทศไทย
นอกจากองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่แล้ว นายกรัฐมนตรี เห็นว่า วิธีการเชื่อมโยงสู่การปฏิบัติ โดยต้องตีโจทย์ให้แตกว่า การดำเนินการของหน่วยงานจะแก้ได้อย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน โดยนำข้อเสนอที่ได้จากเวที จะนำไปพิจารณาร่วมกับการประชุมสมัชชาการปฏิรูปประเทศในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ที่มีองค์กรภาครัฐและเครือข่ายประชาชนเข้าร่วมเพื่อระดมความคิดเห็นในประเด็นปัญหาของชาวบ้าน ข้อเสนอ และเร่งรัดให้เป็นรูปธรรมชัดเจนให้เร็วที่สุด
“วันนี้เป็นเพียงความคิดเริ่มต้น และต้องไปกลั่นกรอง กลไก ข้อเสนอให้ชัดเจน อยากได้ให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งการทำงานไม่มีทางเสร็จในรัฐบาลเดียว เพราะฉะนั้น กลไกที่เกิดขึ้น ต้องเป็นกลไกที่ข้ามรัฐบาลได้ ซึ่งไม่ต้องกังวลรัฐบาลนี้ยังมีเวลาอีกพอสมควร และกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพียงทำกลไกให้พร้อม ทำทิศทางให้พร้อม แล้วเคลื่อนไหวให้มีพลังของเราเอง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ตาม”
รัฐเป็น “กองอำนวยการ-ไม่ใช่สั่งการ”
เช่นเดียวกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ประธานคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า สิ่งที่ต้องคิดต่อจากวันนี้ คือ เรื่องระบบ ว่าจะมีกระบวนการเดินต่อไปอย่างไร โดยจากการประชุมปฏิบัติการ หรือเวิร์คช็อป ในวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา มองเห็นตรงกันว่า ภาครัฐควรจะเป็นกรรมการที่ “อำนวยการ” ให้เกิดการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงการ “สั่งการ” และต้องเชื่อมโยงกับภาคประชาชนให้ได้ โดยจะร่วมถกแผนร่วมกันอีกครั้งในวันที่ 20 พ.ค.นี้
“ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบยังเป็น เรื่องหนี้สิน เรื่องที่ดิน ทรัพยากร ที่รัฐเข้าไปจัดการ ที่เขาไม่สามารถใช้ได้ เรื่องสุขภาวะ เรื่องสวัสดิการ เรื่องการกระจายอำนาจที่ต้องมีอย่างแท้จริง ให้ชาวบ้านเข้าไปกำหนดอย่างแท้จริง แม้กระทั่ง เรื่องของคนจนในเมือง ที่อยู่อาศัย ซึ่งความจริง เราทำอยู่แล้ว แต่ยังไม่ขยายเร็ว และจากการพูดคุยชาวบ้านต้องการช่องด่วนที่จะให้ไปเร็ว แก้ไขความยากจนแก้ไปทีละน้อย ไม่พอ”
คุณหญิงสุพัตรา อธิบายให้เห็นภาพกลไกการปฏิรูประยะยาว มี 2 ระดับ คือ กลไกภาคประชาชน ซึ่งมีสองระดับคือ ระดับชุมชนและระดับชาติ และกลไกคณะกรรมการ (อำนวยการ) ปฏิรูปประเทศไทย โดยต้องมีการปรับบทบาทของหน่วยงานรัฐและองค์กรพัฒนาสาธารณะประโยชน์ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ขององค์กรชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการตนเองให้ตอบสนองต่อชุมชนท้องถิ่นและการเพิ่มศักยภาพให้กับผู้นำชุมชนท้องถิ่น
“เราจะไม่ถอยหลังแล้ว แต่จะเดินหน้าอย่างเดียว เพราะไม่เช่นนั้นจะมีแต่คนพูดเรื่องเดิมซ้ำไปมา และไม่เกิดการเคลื่อนไหวต่อ ครั้งนี้เป็นการเริ่มกระบวนการให้ชาวบ้านออกมาร่วมเดิน ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาให้ความเห็น เมื่อเลื่อนการยุบสภาออกไป รัฐบาลก็ยังอยู่อีกหลายเดือน ยังมีเวลาทำแผนให้เรียบร้อย แต่ไม่ให้พูดเฉพาะเรื่องของส่วนตัว แต่ต้องเน้นที่ภาพรวมเพื่อเป็นโจทย์ที่เป็นแนวต่อไป”
ห่วงเวทีปชช.ร่วมปฏิรูป เป็นแค่เวทีถกปัญหา
ขณะที่ผู้ใหญ่โชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ แห่งหมู่บ้านหนองกางดง ต.ศิลาลอย อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เจ้าของแนวคิดการก่อตั้งสภาตำบล ให้ความเห็นการปฏิรูปประเทศไทยว่า ต้องปฏิรูปการทำงานของราชการ สื่อ กระบวนการยุติธรรมด้วย เรายังติดอยู่แค่เรื่องเศรษฐกิจ ความไม่เป็นธรรม เหลื่อมล้ำ แต่ยังไม่มีการมองไปที่ต้นเหตุปัญหาที่แท้จริง เช่น เรื่องความรู้จักพอประมาณของคน
“ปัญหาช่องว่างความยากจนก็ต้องแก้ แต่การสร้างจิตสำนึกคนไทยใหม่ การปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งที่คุยกันมายังไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้เลย”
ส่วนที่พูดถึงแผนชุมชน หรือการมีสภาประชาชนเพื่อร่วมปฏิรูปประเทศไทยนั้น ผู้ใหญ่โชคชัย มองว่า ทุกคนยังไม่เข้าใจแผนชุมชนที่แท้จริงว่า ต้องมาจากชาวบ้านในหมู่บ้านที่รวมกันทั้งตำบล ก่อนนำไปผลักดันปฏิบัติให้เห็นผลร่วมกัน ไม่ใช่สรุปเป็นข้อเสนอแล้วส่งให้อบต. อปท. หรือรัฐ หรือผู้อื่นทำแทน แต่ชาวบ้านต้องทำกันเองโดยร่วมมือกับส่วนอื่นเสริม
“การจะตั้งสภาประชาชนฯ ก็ควรจะเริ่มจากความเข้าใจของประชาชนทั้งประเทศที่เห็นร่วมกันก่อนว่า ต้องมี จึงจะเป็นการสร้างพระเจดีย์จากฐานรากที่แท้จริง” ผู้ใหญ่โชคชัย กล่าว พร้อมแสดงความเป็นห่วงที่ทุกคนไม่ได้พกทางแก้ไขปัญหามาด้วย อาจทำให้การตั้งสภาประชาชนฯ ไม่ได้เป็นเวทีของการหาทางออก แต่เป็นแค่เวทีแห่งการเรียกร้องปัญหาของตนเองเท่านั้น
ทำให้คุณภาพชีวิตมั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องมั่งคั่ง
“ความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องของธรรมชาติ และไม่มีรัฐบาลชุดใดในโลกที่จะแก้ความต่างในชีวิตของประชาชนได้ โดยเฉพาะหากเราไม่สามารถทำให้ชุมชนลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาของตัวเองด้วยตนเอง เรื่องความจนก็ดี ความมั่นคงของคุณภาพชีวิตก็ดี ไม่มีทางสำเร็จ” ลุงอัมพร ด้วงปาน ผู้ก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชน 200 กว่าล้านบาท ต.คลองเปียะ อ.จะนะ จ.สงขลา ปราชญ์ชาวบ้านนักออมผู้ยิ่งใหญ่แห่งอ.จะนะ วิเคราะห์ปัญหา
วันนี้แม้ลุงอัมพร จะดีใจที่รัฐบาลเห็นความสำคัญของชุมชนท้องถิ่น แต่ก็ยังเห็นว่า ชุมชนก็ต้องเห็นความสำคัญของตัวเองด้วย ทำให้คุณภาพชีวิตมั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องมั่งคั่ง อีกทั้งยังเชื่อว่าการปฏิรูปประเทศไทย ถ้าชุมชนเข้มแข็ง ชีวิตมั่นคง ชาติก็จะมั่นคง ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ชุมชนดูแลตัวเองให้ได้ โดยรัฐต้องร่วมมือกับพี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของความยากจน ให้แก้ไขกันเอง
สำหรับคน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นายดือราแม ดาราแม กรรมการคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ หรือ "เปาะจิ" ปราชญ์ชาวบ้านแห่งต.ปาลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ เมืองนราธิวาส บอกถึงปัญหาสถานะของคนชายแดนใต้ ที่มีความเป็นอยู่มากว่า 300 ปี อาศัยอยู่กับป่าและน้ำมาตลอดด้วยความเคารพ ไม่เคยทำร้ายป่า จนกระทั่งปี 2542 มีประกาศจากกรมอุทยานฯ ห้ามให้ชาวบ้านอยู่อาศัย นี่คือความเหลื่อมล้ำสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น
“ชาวบ้านก็ไม่ได้เรียกร้องโฉนดที่ดิน หรือกรรมสิทธิ์ แต่ขอเรียกร้องสิทธิที่เคยอยู่กินคืนมาเท่านั้น เราอยากให้ทุกภาคส่วนตั้งแต่เด็ก เยาวชน คนสูงอายุได้มีโอกาสมาเป็นคณะกรรมการร่วมกันด้วย และอยากให้ช่วยกันแก้ปัญหาการทำงานที่ล้าช้าของราชการ จนเกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย”
ไม่ควรแยกใครออกจากวง ‘ปฏิรูป’
ด้านนางมุกดา อินต๊ะสาร ปราชญ์ชาวบ้านใจบุญ นักจัดสวัสดิการเพื่อชุมชนและชาวเขาแห่ง อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ควรต้องใช้ชุมชนเป็นตัวตั้ง ชาวบ้านเป็นเจ้าภาพ ภาครัฐเป็นส่วนหนุนเสริม ส่วนอปท.และส่วนจังหวัดก็ดูแลประสานความร่วมมือ เพราะเชื่อว่า คนในท้องถิ่นย่อมเข้าใจตัวเองดีที่สุด จุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละแห่งก็ต่างกัน ควรทำให้เกิดเหมือนสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ ให้วางผังกันเอง
“เห็นด้วยอย่างยิ่งว่ารัฐต้องทำเคียงคู่กับภาคประชาชน แต่ทุกอย่างท้องถิ่นสามารถคุยกันเองได้ ไม่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ ปัญหาที่ดิน ฯลฯ ทุกอย่างย่อมอยู่ที่ชุมชน ท้องถิ่น พื้นที่ ย่อมเข้าใจที่ดีสุด เรามั่นใจว่า ทุกครั้งที่มีการพูดคุยจะต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเสมอ ขอแค่ให้ลองได้คุยกันก่อน และต้องไม่แยกใครออกจากวง ควรจะมีการพูดคุยกับภาคอื่นๆ อีก วันนี้เราเน้นในภาคของชุมชนท้องถิ่น วันนี้บ้านเมืองเราวิกฤตหลายเรื่อง ดังนั้น เราต้องคุยกัน”
เมื่อมาดูที่ปัญหาเร่งด่วน อย่างเรื่องปัญหาหนี้สิน นายยศวัฒน์ ชัยวัฒนศิริกุล ตัวแทนกองทุนฟื้นฟู จ.กาญจนบุรี เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาหนี้สินขึ้นมานั้น แนวทางนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการและยั่งยืนได้ เพราะจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากล่าช้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งจะมีผลกระทบมากขึ้น ด้วยเหตุที่คนจนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ภาครัฐ หรือส่วนราชการ แต่ทำได้เพียงการขับรถแท็กซี่เท่านั้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนถูกฟ้องร้องในคดีต่าง ๆ ด้วย
สุดท้ายนางประมวล เจริญยิ่ง ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชุมชนละหอกกระสัง ต.เขาคอก อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ และกรรมการคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ เชื่อว่า การปฏิรูปประเทศไทยต้องเริ่มที่สร้างทุกคน ต้องทำให้ทุกคน ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเพื่อความเป็นเจ้าของร่วมกันปฏิรูปฟื้นฟูสังคม กลไกลต้องมีทุกระดับตั้งแต่ตำบล จังหวัด และระดับชาติ
แนะคืนอำนาจให้ชาวบ้านจัดการทรัพยากร -ที่ดิน
สำหรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เสนอว่า การปฏิรูปประเทศไทยควรคำนึงถึงประเด็นกระบวนการสร้างกลไกเชื่อมโยงการทำงาน ของทั้ง 6 ข้อเสนอด้วย (การลดความเหลื่อมล้ำ,สร้างกลไกการปฏิรูป, ปฏิรูประบบนโยบาย แผน และงบประมาณ, ระบบกฎหมายและความยุติธรรม,ระบบการสื่อสารและการเรียนรู้,ระบบ ป้องกันการทุจริต) ต้องสร้างคนไทยในชุมชนท้องถิ่นให้มีความเป็นผู้นำที่มีจิตสาธารณะเพื่อมาทำงานให้ชุมชน หรือขณะนี้ที่มี 14 กองทุนที่ดูแลปัญหาเกษตรกรจะทำอย่างไรที่จะรวมพลังเหล่านี้ และควรให้สถาบันการเงิน เกษตรกรได้มาคุยปัญหากันในประเด็นเนื้อหาก่อนที่จะไปคุยเชิงเทคนิคกลไกด้วย
สอดคล้องกับนางทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ที่มองปัญหาคล้ายๆกันว่าการปฏิรูป ประเด็นหลักต้องทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการตัวเองได้ เปิดพื้นที่ให้เกิดกระบวนการจัดการด้วยตนเอง ทำให้เกิดตำบลจัดการตนเอง และจังหวัดจัดการตนเองด้วย เพื่อสร้างพลัง
“ชาวบ้านได้เสนอให้คืนอำนาจให้สามารถจัดการทรัพยากร จัดการที่ดินได้ ให้กระจายอำนาจจริงๆ เพื่อสร้างฐานของการพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานรากอย่างแท้จริง ซึ่งในกระบวนการปฏิรูปนี้ควรเปิดส่วนร่วมจากระดับล่าง และยังต้องนำข้อสรุปข้อเสนอจากที่ภาคส่วนอื่นๆ มารวมกันอีก”