แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
หลังวิบัติย่อมมี "โอกาส" ให้ "ท้องถิ่น"แก้ปมไม่เป็นธรรม
หลังการทะยอยกลับบ้านของผู้ชุมนุม "คนเสื้อแดง" โดยทิ้งซากปรักหักพังของอาคารสถานที่ และชีวิตคนที่ต้องสูญสลายไปถึง 88 ชีวิตไว้เบื้องหลัง ดูเหมือนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสังคมไทยยังอยู่ในอาการมะงุมมะงาหรา และยังไม่มีความหวังว่าจะสถาปนาความปรองดองให้กลับคืนสู่บ้านนี้เมืองนี้ได้อย่างไร
"ปกรณ์ พึ่งเนตร" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษนักวิชาการอาวุโสถึง 2 ท่าน เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ปมความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และหนทางที่จะช่วยกันคลี่คลาย
"สภาประชาชน"แก้ปัญหารากหญ้า
ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานมูลนิธิชุมชนไท และนักพัฒนาอาวุโส มองว่า โมเดลที่คิดว่าจะเป็นทางออกได้ คือต้องใช้เครือข่ายชุมชน รัฐบาลต้องเข้าไปรับรู้ความทุกข์ของชาวบ้านจริงๆ ว่ามีอะไรบ้าง แล้วพิจารณาว่าแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชาวบ้านคิดเองมีอะไร ต้องส่งเสริมให้สร้างเวทีในระดับรากหญ้าตามที่ต่างๆ แล้วรวบรวมประเด็นขึ้นมาสู่สภาประชาชน สภาประชาชน จะมีผู้กลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง เป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้อาวุโสในบ้านเมืองที่ผู้คนเคารพนับถือ จากนั้นคณะกรรมการผู้อาวุโสก็จะเสนอประเด็นไปยังรัฐบาล เพื่อให้เกิดพลังการขับเคลื่อน
"ผมคิดว่าถ้าทำได้แบบนี้จะเกิดพลังมาก เพราะเป็นประเด็นที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ผ่านกลไกสภาประชาชน และยังมีผู้อาวุโสในบ้านเมืองที่ทุกฝ่ายให้ความเคารพร่วมผลักดันด้วย" ดร.ม.ร.ว.อคิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาอาวุโส ยอมรับว่า การจัดเวทีในท้องถิ่นต่างๆ ช่วงนี้ยากมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ของคนเสื้อแดง
"ความรู้สึกของคนเสื้อแดงที่กลับไปในท้องถิ่นของตนเอง เท่าที่ทราบคือมีความรู้สึกที่รุนแรง รู้สึกว่าทหารฆ่าประชาชน ฉะนั้นต้องช่วยกันก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านี้ก่อน เพราะถ้ายังเคียดแค้นก็คงลำบากที่จะนำไปสู่ความปรองดองได้ ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนจะเริ่มใช้โมเดลสภาประชาชน"
"ผมเชื่อว่าโมเดลนี้จะแก้ไขปัญหาได้ โดยสภาประชาชนจะต้องมีคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง และทุกสีมาร่วมด้วย เพราะเราต้องการให้ประชาชนเป็นตัวแทนขับเคลื่อนปัญหาของตนเอง และเสนอผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ต้องลำบากมาชุมนุมประท้วงเรียกร้อง ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันฟื้นฟูประเทศไทยให้น่าอยู่และเป็นธรรม"
"ทักษิณ"ไม่ได้กลับ
อย่างไรก็ดี มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่ไม่ได้มาชุมนุมเพราะปัญหาเรื่องการดำรงชีวิต แต่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาบริหารบ้านเมือง จึงเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าความต้องการการพัฒนา ประเด็นนี้แม้ ดร.ม.ร.ว.อคิน จะเห็นด้วยในหลักการ แต่ก็ยังเห็นต่างในรายละเอียด
"ผมคิดว่าคุณทักษิณคงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว เพราะลูกน้องคุณทักษิณที่อยู่ตอนนี้ได้ประโยชน์จากที่คุณทักษิณไม่อยู่ หลายคนได้เป็นใหญ่เป็นโต ฉะนั้นเนื้อแท้จริงๆ แม้แต่ลูกน้องคุณทักษิณเองก็คงไม่มีใครอยากให้คุณทักษิณกลับ เพราะอยากมีอำนาจต่อไป ส่วนปัญหาของชาวบ้าน เราก็ต้องช่วยกันเปลี่ยนโจทย์ให้ จากเรื่องการเมืองหรือเรื่องตัวบุคคล ให้เป็นโจทย์ที่จะแก้ไขปัญหาได้จริงๆ"
"รัฐบาลต้องบริสุทธิ์ใจที่จะรับฟัง เปิดใจ และเดินหน้าแก้ปัญหาให้ชาวบ้านจริงๆ ส่วนคนที่กระทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่ต้องเข้าใจว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด และในทางกลับกันก็ต้องเห็นใจรัฐบาลด้วย เพราะเจอแรงกดดันทั้งสองด้าน ฝ่ายหนึ่งก็เรียกร้องให้เอาผิดหนักๆ กับผู้ที่ก่อจลาจล ซึ่งถ้าทำแบบเหมารวมก็จะเป็นปัญหาใหญ่โตต่อไป ฉะนั้นกระบวนการสอบสวนเอาผิดต้องเปิดเผย โปร่งใส ชัดเจน เพื่อหาคนที่ทำผิดจริงๆ แล้วลงโทษไปตามกระบวนการ"
ตั้ง"ทีมอิสระ"สอบสลายม็อบ
ประเด็นสำคัญที่นักพัฒนาอาวุโส เน้นย้ำก็คือ รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบเหตุการณ์ ถ้าปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างเอาชนะก็จะทะเลาะกันไม่มีวันจบและไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าจะหาความจริงร่วมกันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเท่านั้น อย่างบไรก็ดี ก็ต้องยอมรับว่าการจะหาคนที่เหมาะสมและทุกฝ่ายยอมรับก็ยากอยู่เหมือนกัน
ส่วนความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่หลายฝ่ายเรียกร้อง เพราะปฏิบัติการสลายการชุมนุมทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 88 ราย ขณะที่รัฐบาลชุดอื่นมีคนตายน้อยกว่านี้ก็อยู่ไม่ได้แล้วนั้น ดร.ม.ร.ว.อคิน มองต่างมุมว่า รัฐบาลอื่นมีคนเสียชีวิตคนเดียวก็อยู่ไม่ได้ เพราะผู้ประท้วงมือเปล่า ไม่มีอาวุธ แต่การประท้วงเที่ยวนี้มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการใช้อาวุธด้วย ปัญหาจึงมีอยู่ว่ารัฐบาลสั่งฆ่าคนไม่มีอาวุธ หรือทำให้คนตายโดยไม่มีสาเหตุหรือไม่ ฉะนั้นกระบวนการสอบสวนอย่างโปร่งใสจึงสำคัญมากเพื่อพิสูจน์ความจริงข้อนี้
ในทางกลับกันก็ต้องพิสูจน์ด้วยว่าคนที่มีอาวุธเป็นกบฏหรือผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า ถ้าเป็น เราคงเคยเห็นในต่างประเทศก็มีการใช้ความรุนแรงจนเสียชีวิตเหมือนกัน ปัญหาคือเป็นอย่างที่กล่าวหาหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ และต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
"นี่คือความจำเป็นที่เราต้องมีรัฐบาลต่อไป ไม่อย่างนั้นคงโกลาหลพิลึก แต่เมื่ออนุญาตให้รัฐบาลอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องสร้างกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใสและเป็นธรรมขึ้นมาด้วย" ดร.ม.ร.ว.อคิน ระบุ
ขัดแย้งที่โครงสร้าง-สื่อปลุกปั่น
ขณะที่ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอาวุโส กล่าวว่า ปรากฏการณ์ "แดง-เหลือง" มาจากปัญหาความไม่เป็นธรรม และปัญหาโครงสร้างการรวมศูนย์อำนาจของประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องไม่มีจะกิน เพราะประเทศไทยมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ความขัดแย้งจึงมาจากความโลภ โกรธ หลง บวกกับปัญหาโครงสร้าง ซึ่งแตกต่างจากรากฐานความขัดแย้งในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก
"ความขัดแย้งในบ้านเราเกิดจากโครงสร้างรวมศูนย์อำนาจ สังคมชาวนากับสังคมโชห่วย สังคมกรรมกรในเมือง แต่ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นเพราะถูกปลุกปั่นด้วยสื่อ ทำให้การรับรู้ของคนเปลี่ยนแปลง ชาวบ้านที่ต้องการความเป็นธรรมถูกมอมเมาโดยนักการเมืองและนายทุนทั้งหลายให้โกรธแค้น เผาทำลาย ก่อนกลับยังขโมยของกลับไปด้วย คนกรุงเทพฯถึงกับร้องไห้ บางคนอยู่มา 40 ปีไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ความเสียหายมันเกินเยียวยา ไม่มีอะไรเหลือ ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่คนกรุงเทพฯถูกแซะโดยคนต่างจังหวัด"
ไปไกลกว่าภาคใต้-"ปรองดอง"แค่ฝัน
ในความเห็นของ รศ.ศรีศักร เขาเชื่อว่าสถานการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพฯไปไกลกว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ และในสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจปรองดองได้ นอกจากแก้ไขปมไม่เป็นธรรมเสียก่อน
"ที่ผ่านมาสถานการณ์ในกรุงเทพฯต้องบอกว่าไปไกลกว่าภาคใต้ แม้จะมีการฆ่า มีความโหดเหี้ยมเหมือนกัน แต่ที่กรุงเทพฯไปไกลถึงขั้นบุกโรงพยาบาล ทุกอย่างครอบงำด้วยอารมณ์ ภาวะแบบนี้ไม่สามารถปรองดองกันได้หรอก จะปรองดองกันอย่างไร สิ่งที่นักสันติวิธีเสนอเป็นการพูดเฉพาะตรรกะ การโจมตีราชประสงค์ ภาพความร้ายแรงที่ออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากที่สหรัฐถูกโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในเหตุการณ์ 911"
"ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ความเป็นธรรมของคนต่างจังหวัด ซึ่งต้องแก้โดยรัฐบาล ไม่ใช่ให้คนกรุงเทพฯมารับบาป เพราะความเสียหายมันใหญ่มาก ทางแก้ต้องให้คนท้องถิ่นได้ดูแลกันเอง โดยรัฐบาลเปิดโอกาส อย่าลืมว่าหลังวิบัติ โอกาสจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้คนรักกันมากขึ้นได้ เพียงแต่โอกาสนั้นต้องสร้างและทำโดยคนในท้องถิ่นเอง เนื่องจากรู้ปัญหาของตนเองดีที่สุด"
เปิดโอกาส"ท้องถิ่น"แก้ปมไม่เป็นธรรม
รศ.ศรีศักร ชี้ด้วยว่า ในท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศไทยมีปัญหามากมายที่รัฐไม่เคยแก้ไข เช่น ภาคเหนือมีเหมืองโปรแตซ ภาคอีสานแม้พื้นที่ปลูกข้าวปลูกยูคาลิปตัสเต็มไปหมด แต่ก็เป็นของนายทุน คนอีสานเองแทบไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
"คนเสื้อแดงจำนวนมากไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ แต่การมาก่อความรุนแรงในกรุงเทพฯก็ไม่ถูกต้อง สาเหตุเป็นเพราะถูกปลุกปั่นโดยนักการเมืองและนายทุนผ่านสื่อหลายแบบ จากนั้นก็มาระบายแค้น เผาและปล้นคน กทม.อย่างรุนแรงเข้าขั้นก่อการร้าย ฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาของคนเสื้อแดงในท้องถิ่นของพวกเขาเอง อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องความสมานฉันท์ ส่วนพวกปรากฏการณ์อำมหิตก็ต้องจัดการคนที่ทำอย่างเด็ดขาด องค์กรที่รักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศต้องทุบทิ้ง เพราะไม่สามารถดูแลประชาชนได้เลย"
นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอาวุโส ย้ำว่า ถ้าไม่ย้อนกลับไปแก้ปัญหาที่รากของปัญหาคือ "ท้องถิ่น" เร็วๆ นี้ก็จะเกิดปัญหาซ้ำอีก กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพวกที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายสถาบัน กับพวกที่กล่าวอ้างว่ารักสถาบัน
"ทางออกต้องคิดโดยภาคประชาชนว่าจะทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นฉิบหายแน่ อย่าไปเชื่อฝรั่งมาก เราต้องแก้ของเราเอง แต่ผมยังเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้จะสร้างโอกาสทางจิตสำนึก ฉะนั้นรัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นได้คิดเอง ทำเอง เหมือนอย่างใน กทม.ที่มีสำนึกร่วม ออกมาทำความสะอาดล้างบ้านล้างเมือง"
เพราะหลัง "วิบัติ" ย่อมมี "โอกาส" เสมอ