“ธีระชัย” ยัน สางหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่แตะทุนสำรอง

รมว.คลัง ระบุ ข้อกังวลของหม่อมอุ๋ย ต่อร่างพ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ฯ นั้น ยันการดำเนินการจะ ยึดหลักวินัยการเงินการคลังและมีการเขียนกรอบที่ชัดเจน
วันที่ 6 ธันวาคม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวก่อนการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ ถึงเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ว่า มีความเข้าใจที่ผิดพลาดหลายเรื่อง ได้แก่
1.ความขัดแย้งระหว่างตนกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะมีความเห็นที่ตรงกันในส่วนของมาตรการ
2.เรื่องการโอนหนี้ให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะนี้หนี้ดังกล่าวได้ออกในรูปของพันธบัตรรัฐบาล เพราะฉะนั้นหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ของรัฐบาล ซึ่งมีแนวคิดที่จะนำไปรวมศูนย์ไว้ที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่ใช่โอนหนี้ให้ ธปท. เพื่อไปออกพันธบัตรมาใช้หนี้แทน
และ 3. ตามกฎหมาย พระราชกำหนดเกี่ยวกับหนี้กองทุนฟื้นฟูที่ออกไว้ในช่วงวิกฤตปี 2540 นั้น ระบุไว้ว่า ถึงแม้กระทรวงการคลังอาจจะกำหนดเงินออม เพื่อชำระดอกเบี้ยไปก่อน แต่สุดท้ายเงินที่กระทรวงการคลังออกไปนั้น ธปท.จะต้องจ่ายคืนให้แก่รัฐ เพราะฉะนั้นหนี้ดังกล่าวจึงเป็นของ ธปท. อยู่เดิม เพียงแต่ขณะนี้จะมีการจัดการบริหารจัดการหนี้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
“ปัญหาของกองทุนฟื้นฟูขณะนี้คือ การเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดชำระที่ชัดเจน ทำให้มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายกลายเป็นภาระต่องบประมาณ จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการ ส่วนแนวทางในการบริหารจัดการนั้นจะยึดหลัก 3 หลักดังนี้ 1.ไม่ทำให้เสียวินัยการเงินการคลัง 2.ไม่ให้การจ่ายดอกเบี้ยเป็นอุปสรรคและภาระงบประมาณ 3.ไม่ไปวุ่นวายกับทุนสำรองระหว่างประเทศ”
ส่วนการที่จะออกเป็น พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. นั้น นายธีระชัย กล่าวว่า ต้องรอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ขณะที่ข้อกังวลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต่อร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.....มาตรา 7 (3) นั้น การดำเนินการจะต้องยึดหลักวินัยการเงินการคลังและจะมีการเขียนกรอบที่ชัดเจน ส่วนวิธีการเขียนจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง กล่าวถึงข้อกังวลที่หลายฝ่ายวิตกว่าหนี้จะตกเป็นภาระของประชาชนว่า เรื่องดังกล่าวระบบธนาคารจะต้องมีการจัดเงินเข้ามาเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา โดยใช้วิธีการเก็บภาษีพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้หลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ยุโรป เริ่มดำเนินการแล้ว ขณะที่รัฐก็จะช่วยลดภาระของธนาคาร โดยดำเนินการลดภาษีนิติบุคคลเช่นกัน
ด้านนายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณารายละเอียดของร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.....
นายอัชพร กล่าวว่า ขณะนี้ยังพิจารณากันอยู่ว่าที่มาของแหล่งเงินจะมาจากไหน ซึ่งรายละเอียดของมาตรา 7 (3) ยังไม่ลงตัว แต่อย่างไรก็ตามหนี้ก็ยังคงเป็นหนี้ในพันธบัตรเดิมที่กระทรวงการคลังออก และกระทรวงการคลังก็ยังคงเป็นหนี้อยู่เช่นเดิม และจะไม่กระทบอะไรกับเจ้าหนี้ที่ถือพันธบัตร
“กฎหมายนี้จะกำหนดวิธีการชำระหนี้เดิมให้เห็นภาพชัดขึ้น และจะมีการชำระหนี้เสร็จสิ้นแน่นอน โดยกองทุนฟื้นฟูจะเป็นคนรับภาระนี้ไป จากเดิมที่กระทรวงการคลังต้องจ่ายดอกเบี้ยจากงบประมาณแผ่นดิน ส่วนนี้กองทุนฟื้นฟูก็พร้อมจะรับไป สำหรับการหารายได้และแหล่งเงิน แบงค์ชาติจะทำบัญชีชำระเงินต้น แล้วจะนำเงินส่งเข้ามา เพื่อให้กองทุนฯ นำไปชำระ” นายอัชพร กล่าว และว่า เดิมแบงค์ชาติมีภาระในการชำระเงินต้น ส่วนกระทรวงการคลังชำระดอกเบี้ยระยะแรก แต่ที่ผ่านมากฎหมายไม่ค่อยชัด ว่าจะชำระหนี้อย่างไร
“อย่างไรก็ตาม ในการหาแหล่งเงินของแบงค์ชาติไม่แตะทุนสำรองอย่างแน่นอน เพราะมีหลักการ คือ จะไม่พิมพ์แบงค์ใหม่เพื่อชำระหนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของทุนสำรองเงินตรา และไม่สร้างหนี้สาธารณะขึ้นใหม่ ส่วนควรจะออกเป็น พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. นั้น ขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณา รวมถึงรอผลการประชุมทั้งของ กยน. และกยอ. ก่อนจะตัดสินใจ”
