รอพิสูจน์ 'แจกแท็บเล็ต' ดีจริงเหมือน 30 บ. นพ.ประวิทย์ ยันประโยชน์ไม่ชัด มีหวังต้องเปลี่ยน

กสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ย้ำชัดระยะยาวรบ.ต้องคำนวณงบฯ แจกแท็บเล็ตกับความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้นด้วย ขณะที่เลขาฯสช.ชี้ แจกแท็บแล็ตไม่ช่วยลดภาระครู ย้ำ ครู คือ กำลังสำคัญที่จะมอบทักษะพื้นฐานให้กับเด็ก
วันที่ 5 มกราคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสีย กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดการเสวนา “สังคมไทย ควรเตรียมการอย่างไร .. เพื่อเด็กไทยเท่าทันโทรคมนาคม” โดยมี นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ดร.เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ สพฐ.) และนายธีรวุฒิ อุปฐาก ตัวแทนเยาวชนกลุ่มระบัดใบ จาก จ.ระนอง ร่วมเสวนา โดยภายในงานได้กล่าวถึงหัวข้อ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล “แจกแท็บเล็ต” เด็กไทยควรเตรียมตัวอย่างไร
ดร.เบญจลักษณ์ กล่าวว่า ทาง สพฐ.และสช. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากเนื้อหาที่ใส่ลงในแท็บเล็ต ในการปลูกฝังเรื่องของจิตสำนึกและคุณธรรม ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงธรรมชาติของเด็ก ป.1 ว่าหากมีแท็บเล็ตแล้วควรใช้ในช่วงเวลาใดจึงเหมาะสม
“การแจกต้องมีการเตรียมพร้อมทั้งผู้ใช้ ผู้กำกับการใช้ รวมถึงมิติของผู้ปกครองด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมทั้งครูและนักเรียน ก่อนที่อุปกรณ์จะมา ต้องสอนให้นักเรียนมีนิสัยในการใช้ข้อมูลให้เป็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นกระบวนการใช้ก็จะเป็นไปในประเภทของเกมหรืออื่นๆ ขณะที่การเตรียมความพร้อมของครู ก็ได้มีการประยุกต์ให้ ICT เข้ามาในชีวิตประจำวันของครูมากขึ้น เนื่องจากหากครูผู้สอนได้ทดลองใช้ด้วยตัวเองจะสามารถมองเห็นภาพว่า จะนำไปประยุกต์ใช้ในการสอนกับลูกศิษย์เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้อย่างไร”
สำหรับเนื้อหาที่จะนำมาใช้กับนักเรียนชั้น ป.1 นั้น ดร.เบญจลักษณ์ กล่าวว่า เนื้อหาต้องง่าย ซึ่งอาจจะออกมาในรูปแบบของการมีตัวการ์ตูนหรือเสียงที่ตอบโต้กับนักเรียนได้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเปิดหนังสือที่ขยับได้ และมีข้อมูลที่หลากหลาย แต่ทั้งนี้ในส่วนการเตรียมเนื้อหา ต้องมีการปรับปรุงและประยุกต์ให้มีตัวหนังสือน้อยลง หรือตัดเนื้อหาเป็นตอนๆเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
ขณะที่นายชาญวิทย์ กล่าวว่า แท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ ไม่ใช่หนังสือเรียนทั้งหมด ซึ่งเรื่องหลักสูตรหรือเนื้อหาการเรียนรู้ต้องได้รับการอนุญาตจากทางกระทรวงฯก่อน โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ ความมั่นคงต้องมีการพิจารณาเป็นพิเศษ ซึ่งในขณะนี้ได้จัดทำเป็น E-Book แล้วทั้งหมด 8 กลุ่มสาระ มีโปรแกรมที่คล้ายกับ Anti Virus เพื่อใช้สำหรับบล็อกข้อมูล เนื่องจากเด็กวัยนี้ไม่สมควรค้นคว้าข้อมูลออกนอกลู่นอกทาง ดังนั้นควรต้องมีการจำกัดไว้
ทั้งนี้ นายชาญวิทย์ กล่าวด้วยว่า การเข้าถึงข้อมูลโดยการเรียนรู้จากแท็บเล็ต โดยปราศจากครูไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมา เด็กมีความรู้แต่ขาดทักษะ ฉะนั้นในการเรียนรู้โดยวิธีใดก็ตาม ครูต้องเป็นผู้มอบทักษะพื้นฐานให้กับนักเรียนด้วย เพราะหากมีการใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมโยงมากเกินไป จะทำให้ขาดทักษะหรือความชำนาญ และมีความอดทนน้อยลง
“การที่มีแท็บเล็ตไม่ได้เป็นการลดภาระของครู แต่ครูต้องเป็นผู้ให้ความรู้และเป็นกำลังสำคัญ ต้องเป็นผู้แนะนำ โดยเฉพาะกับเด็กในวัยที่ต้องอ่านออก เขียนได้ เพราะเรื่องนี้เป็นทักษะพื้นฐาน”
ด้านนพ.ประวิทย์ กล่าวถึงการแจกแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา นอกจากเด็กจะได้เรียนรู้ในส่วนของเนื้อหาแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนให้เกิดทักษะในการใช้เทคโนโลยีไปในตัวได้ด้วย รวมถึงเป็นการเรียนรู้หาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเองจากโลกภายนอก แต่ทั้งนี้ ต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลให้เป็น เนื่องจากข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมีทั้งที่เชื่อถือได้และไม่ได้
“หัวใจของแท็บเล็ต มีอยู่ 2 ส่วน อย่างแรกคือ แอพลิเคชั่น ซึ่งแอพลิเคชั่นทางการเรียนรู้ต้องมีการพัฒนาขึ้นไปอีก อาจเป็นแอพลิเคชั่นที่เรียนแล้วทดสอบตนเองได้ด้วย หรือเป็นรูปแบบของตัวการ์ตูนก็ได้ เมื่อมีแอพลิเคชั่นแล้วจึงมาถึงเรื่องของการเชื่อมต่อต่อไป”
นพ.ประวิทย์ กล่าวด้วยว่า การแจกแท็บเล็ตเป็นการเรียนรู้พร้อมปฏิบัติการ เพราะไม่มีข้อสรุปทางเทคโนโลยีว่าโมเดลนี้ดีที่สุด ต้องเป็นการเรียนรู้และปรับปรุงไปพร้อมกัน ซึ่งต่อไปในระยะยาวรัฐบาลคงต้องคำนวณถึงงบประมาณกับความคุ้มค่าที่จะเกิดขึ้น ว่าในอนาคตจะแจกชั้นปีอื่นเพิ่มหรือไม่
“สุดท้ายถ้าโครงการนี้มีความยั่งยืนจริง หรือมีประโยชน์จริง ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใดก็ไม่สามารถล้มเลิกได้ คล้ายกับนโยบายประชานิยม 30 รักษาทุกโรค แต่ถ้าประโยชน์ไม่ชัด หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องมีการเปลี่ยนนโยบาย ส่งผลให้เด็กมีความสับสน ฉะนั้น โครงการนี้เป็นการพิสูจน์ตนเองว่ามีคุณค่าต่อการเรียนรู้ และโลกดิจิตอลอย่างไร”
ส่วนนายธีรวุฒิ กล่าวถึงการมีข่าวประกาศแจกแท็บเล็ตรู้สึกดีใจ เนื่องจากเป็นเด็กชนบท ซึ่งมีโอกาสในการใช้และสัมผัสเทคโนโลยีน้อยมาก และเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอุปกรณ์ทันสมัยใช้ และช่วยพัฒนาในเรื่องการศึกษา พร้อมกับเป็นการยกระดับให้เด็กในชนบทให้เท่าเทียมกับเด็กในเมือง แม้กระทั่งในส่วนของผู้ปกครองในชนบทเองก็มีความต้องการให้บุตรหลานได้มีอุปกรณ์ ที่ทันสมัยใช้เหมือนบุตรหลานคนอื่นๆ จึงมองว่าแท็บเล็ตมีความสำคัญ สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ และสามารถท่องโลกได้กว้างกว่าหนังสือหนึ่งเล่ม
"ปัจจุบันเพื่อนบางคนก็ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่จะเป็นการศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมากกว่า ทั้งนี้ อินเตอร์เป็นเรื่องที่ไร้พรมแดน ซึ่งถ้าไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินในและรับมือกับปัญหา จะไม่สามารถจัดการได้ และก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้น”ตัวแทนเยาวชนกลุ่มระบัดใบ กล่าว และว่า เมื่อมีการนำแท็ปเล็ตเข้ามาแจกแล้ว ขอให้พัฒนาระบบสัญญาณให้ชัดและเข้าถึงง่ายด้วย และขอให้ครูกำหนดกฎ กติกา และรูปแบบของสื่อที่จะเข้าถึง รวมทั้งมีการตรวจสอบการใช้งานและมีบทลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กมีความรู้สึกว่า มีกฎระเบียบคุ้มครองการเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสม
