“กยน.” ชู แผน ‘กระดูกสันหลังชาติ’ 3 แสนล้าน บริหารต้น-กลาง-ปลายน้ำครบวงจร

“กยน.” แจงเหตุ รบ. ทุ่มเม็ดเงิน 3 แสนล้านจัดการน้ำ แขวะหน่วยงานราชการทำแต่โครงการเล็กๆ-อ้างไม่มีงบฯขณะที่ ปธ.สภาอุตฯ ชี้แผนแม่บท กยน. แม้จะครอบคลุม แต่ห่วงความต่อเนื่องในการดำเนินการ
วันที่ 14 ธันวาคม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JAPAN International Cooperation Agency: JICA) จัดงานเสวนาเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาแบบบูรณาการ” ณ โรงละครสยามนิรมิต โดยเชิญนักลงทุนไทยและต่างชาติ อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น (JETRO) ร่วมงานสัมมนา
‘ยุ่น’ ตบเท้าให้ข้อมูลป้องน้ำท่วม
นายคิมิโอะ ทาเคยะ ที่ปรึกษา ไจก้า กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำจะเป็นต้องมีแผนแม่บท และมาตรการเชิงโครงสร้างที่ช่วยป้องกันอุทกภัย อาทิ เขื่อน คู อ่างเก็บน้ำ แต่เมื่อดิน ฟ้า อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องใช้มาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างเข้ามาช่วย เช่น การปลูกต้นไม้ การใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม โดยมีการออกระเบียบกฎเกณฑ์ รวมถึงค่าชดเชยในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
“ทางเลือกที่ญี่ปุ่นนำเสนอเป็นแนวทางที่บูรณาการที่สุด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย โดยนอกจากเสนอให้มีการปลูกป่าขึ้นมาใหม่ในพื้นที่เหนือน้ำ และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินแล้ว ในแง่วิศวกรรมได้นำเสนอโครงสร้างที่เน้นการหันเหทิศทางไหลของน้ำ ความจำเป็นในการสร้างอ่างเก็บน้ำ และต้องหาฟลัดเวย์ในการระบายน้ำสู่ทะเล ทั้งนี้ โครงสร้างต่างนั้น ๆ จะต้องมีความยืดหยุ่น ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยและเป็นสังคมที่อยู่กับน้ำได้” ที่ปรึกษาไจก้า กล่าว
ด้านนายอาซูชิ โอมาตะ ผู้อำนวยการสำนักงานน้ำของประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงพัฒนาการของกรุงโตเกียวว่า ที่โตเกียวสามารถพัฒนาได้ เนื่องจากมีการสร้างเขื่อน และฟลัดเวย์ เพื่อนำน้ำลงสู่ทะเล แม้ปัจจุบันจะมีพื้นที่ประสบภัยน้อยลง แต่ความเสียหายกลับไม่ได้ลดลง เนื่องจากความหนาแน่นของประชากร ทั้งนี้ เพื่อดูแลความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประเทศญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเป็นอย่างมาก โดยได้มีการออกกฎหมายเข้ามารองรับในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ
ส่วนมาตรการเชิงโครงสร้างที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำนั้น นายอัสซึชิ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการป้องกันน้ำท่วมคือการลดระดับน้ำ ฉะนั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีสร้างอ่างเก็บน้ำ แก้มลิง ขุดลอกคูคลอง ขยายคูคลอง หรือสร้างฟลัดเวย์ แต่ทางเลือกดังกล่าวนั้นต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของแม่น้ำ สภาพอากาศ หรือปริมาณฝนของลุ่มแม่น้ำนั้น ๆ ด้วย
“สำหรับแม่น้ำของไทย เป็นที่ราบ การขยายคลองนับเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ต้องใช้วิธีกักเก็บน้ำ” นายอาซูชิ กล่าวและว่า การบริหารจัดการน้ำต้องทำอย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการเชิงโครงสร้างและไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง เพื่อบรูณาการให้ความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินน้อยที่สุด
นายอาซูชิ กล่าวถึงมาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างว่า ต้องให้ความสำคัญต่อการตรวจเช็คระดับน้ำในแม่น้ำ และส่งต่อข้อมูลไปยังประชาชนตามเวลาจริง (real time) ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต ขณะที่ข้อมูลต้องมีการจัดศูนย์รวบรวม เพื่อป้องกันความสับสน และต้องมีการแปลความหมายของตัวเลขระดับน้ำ โดยจัดทำเป็นลำดับแร็งกิ้ง (ranging) ระดับใดต้องเตรียมตัว ระดับใดต้องอพยพ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถลี้ภัยได้ทันเวลา
สำหรับในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมนั้น นายอาซูชิ กล่าวด้วยว่า ไม่ควรสร้างบ้านเรือน หรือแหล่งประกอบการธุรกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวประเทศญี่ปุ่นก็พยายามหาทางออกอยู่เช่นกัน โดยกำหนดพื้นที่ในการก่อสร้าง จำกัดจำนวนสิ่งก่อสร้าง แต่ทั้งนี้ แม้จะมีการเตรียมการเป็นอย่างดี แต่ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้
ส่วนนายอาชิโตะ ชิมโป เจ้าหน้าที่อาวุโสสำนักงานวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ ผู้แทนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศในอันดับต้นของโลกที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้นหากจะวางแผนป้องกันอุทกภัยได้นั้น สิ่งแรกที่จำเป็นคือ ข้อมูลปริมาณน้ำฝน ซึ่งประเทศญี่ปุ่น มีมาตราวัดปริมาณฝนและเรดาห์ติดตั้งอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งหากมีความเสี่ยงเกิดขึ้นจะมีการประกาศเตือนตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ประกาศเตือนภัยนั้น ต้องออกแบบให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน ขณะที่การประกาศเตือนภัยนั้น ต้องมีการส่งผ่านไปยังองค์กรส่วนท้องถิ่น เพื่อแจงเตือนต่อไปยังพื้นที่ที่เสี่ยงภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประสานงานร่วมกัน
นายฮิโรโตชิ โมริ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กล่าวถึงการสร้างคันกั้นน้ำว่า การออกแบบคันกั้นน้ำ ต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของดินให้คันกั้นน้ำเป็นเป็นสำคัญ เพราะดินใต้คันกั้นน้ำจะมีลักษณะเหมือนกับดินในแม่น้ำบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการพังทลายของคันกั้นน้ำ
“ประเทศญี่ปุ่นประสบภัย เนื่องจากคันกั้นน้ำมาหลายครั้ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า เมื่อน้ำล้นข้ามคัน จะเข้าไปกัดเซาะดินใต้คัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ประเทศไทยประสบในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา ในประเทศญี่ปุ่นได้มีกฎหมายกำหนดรูปทรง คุณภาพ คุณสมบัติของคันกั้นน้ำไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องมีความสูง ความชันเท่าไหร่ ถึงจะสามารป้องกันแรงดันของน้ำได้ ขณะเดียวกันคันดังกล่าวต้องสามารถทนต่อแผ่นดินไหวได้”
นายฮิโรโตชิ กล่าวด้วยว่า การออกแบบต้องเป็นไปตามเงื่อนไข เพราะญี่ปุ่นมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ จึงไม่สามารถขยายคันกั้นน้ำได้ จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เนื่องจากต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ กรณีประเทศไทย เป็นพื้นที่ดินนุ่ม มีความเสี่ยงที่คันจะทรุดตัวตลอดเวลา ฉะนั้น การพัฒนาโครงสร้างต้องคำนึงด้วยว่า การแผนเหล็กไปติดตั้งบนครีมเค้กจะสามารถอยู่ได้หรือไม่
“การก่อสร้างคันกั้นน้ำต้องใช้วิธีอัดดินให้แข็ง เพราะความแข็งของดินที่ต่างกันเพียง 5% ก็ส่งผลทำให้ภาวะรุนแรงของน้ำท่วมแตกต่างกันได้ ขณะที่การบำรุงรักษา ต้องมีการตรวจสอบตลอดเวลา หากพบว่ามีการชำรุดต้องซ่อมแซมทันที ทั้งนี้ญี่ปุ่นพยายามยกระดับความน่าเชื่อถือในเรื่องคันกันน้ำตลอดเวลา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย”
“กยน.” ชู โปรเจค ‘กระดูกสันหลังชาติ’
รศ.ชูเกียรติ ทรัพย์ไพศาล หนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ (กยน.) และรองประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน นำเสนอ “แผนการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาแบบบูรณาการ” ว่า สภาพโดยทั่วไปของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่ 158,000 ตร.กม. แบ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมถึง 35,000 ตร.กม.มีประชากร 18 ล้านคน และมีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างหนาแน่น ประกอบด้วย พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ชุ่มน้ำ ประมาณ 80% พื้นที่ชุมชนเมือง พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมประมาณ 20%
"ขณะที่พื้นที่นอกเขตน้ำท่วมถึง มีพื้นที่ประมาณ 123,000 ตร.กม. มีประชากร 7 ล้านคน และมีการใช้ประโยชน์ที่ดินหนาแน่นน้อย ทำให้เมื่อเกิดอุทกภัยจึงเสียหายไม่มากนัก เพราะน้ำมาเร็วไปเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างยั่งยืนนั้น จะต้องดำเนินการทั้งในสองพื้นที่ดังกล่าว"
รศ.ชูเกียรติ กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำนั้น ต้องยอมรับว่า น้ำต้องมีที่อยู่ที่ไป ถึงเราไม่จัดการ ธรรมชาติก็ต้องจัดการตัวเองอยู่ดี ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย จึงต้องจัดทำแก้มลิง นำพื้นที่เกษตรกรรมมาใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำหลากที่เกิดขีดความสามารถของแม่น้ำไว้ชั่วคราวประมาณ 2 เดือน ก่อนดำเนินการพร่องออก ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องมีการปรับปรุงผังการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สัมพันธ์กับผังน้ำมากที่สุด ขณะที่การแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาภัยแล้งและระบบนิเทศทั้งหมด
“ปีที่ผ่านมาเรามีปัญหาเรื่องการกระจายน้ำเข้าทุ่ง ทำให้จำเป็นต้องมีการจัดตั้ง (Single Command Authority) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจและบริหารให้เกิดเสียหายน้อยที่สุด และเมื่อตัดสินใจแล้วว่า พื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศต้องไม่ท่วม ผู้ที่เสียหายต้องได้รับการชดเชยมากที่สุด”
สำหรับมาตรการที่จะนำมาใช้นั้น รศ.ชูเกียรติ กล่าวว่า มีทั้งมาตรการด้านสิ่งก่อสร้างและไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง ซึ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้น ปัจจุบันมีเขื่อนกักเก็บน้ำ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ แควน้อย ทับเสลา กิ่วลม ป่าสักชลสิทธิ์ แต่ยังไม่พอต้องมีการสร้างเพิ่ม อาทิ เขื่อนในพื้นที่ลุ่มน้ำยม สะแกกรัง ป่าสัก ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 36%
“การสร้างเขื่อน ฟลัดเวย์ แก้มลิง หรือสร้างคันดินล้อมพื้นที่ชุมชน อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมเช่นเดิม หากไม่ใช้มาตรการที่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างควบคู่ไปด้วย ดังนั้น ต้องมีการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างเดิม ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ให้เมืองพัฒนาเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วม รวมถึงจัดระบบเผชิญ ฟื้นฟูอุทกภัย”
สำหรับมาตรการกระดูกสันหลังของประเทศ (backbone) ซึ่งเป็นโปรเจคที่รัฐบาลจะลงทุน เพื่อควบคุมและบริหารจัดการน้ำ ในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ รศ.ชูเกียรติ กล่าวว่า รัฐบาลจะใช้แนวทางการบริหารแบบ win-win มีการพูดคุยหารือกับประชาชน เพื่อให้เกษตรกรรมและเมืองได้ประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ต้นน้ำนั้น ประกอบด้วย การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุล วงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท, ลงทุนสร้างอ่างเก็บน้ำให้ครบ เช่น อ่างเก็บน้ำในแม่น้ำยม แม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำปิง งบประมาณ 50,000 ล้านบาท, ควบคุมการใช้ที่ดินและการพัฒนาการใช้ที่ดิน อาจมีการจัดตั้งสภาการใช้ที่ดินของประเทศขึ้นมา งบประมาณ 5,000 ล้านบาท และอื่น ๆ เช่น ปรับปรุงลำน้ำ ขุดลอก ระบบพยากรณ์ 3,000 ล้านบาท รวมวงเงินโครงการบริหารต้นน้ำทั้งสิ้น 68,000 ล้านบาท
พื้นที่กลางน้ำ สร้างพื้นที่ปิดล้อม ป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัด งบประมาณ 10,000 ล้านบาท, ปรับพื้นที่เกษตรกรรมในพื้นที่ชลประทานที่น้ำท่วมถึง 2 ล้านไร่เพื่อรองรับน้ำหลาก งบประมาณ 60,000 ล้านบาท, ควบคุมการใช้ที่ดินและพัฒนาการใช้ที่ดิน 5,000 ล้านบาท และอื่นๆ เช่น ปรับปรุงลำน้ำ งบประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมงบประมาณบริหารพื้นที่กลางน้ำทั้งสิ้น 79,000 ล้านบาท
ส่วนพื้นที่ปลายน้ำ สร้างพื้นที่ปิดล้อมป้องกัน กลุ่มพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ในฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา งบประมาณ 20,000 ล้านบาท, สร้างทางน้ำหลากหรือทางผันน้ำ งบประมาณ 120,000 ล้านบาท, ควบคุมการใช้ที่ดิน งบประมาณ 1,000 และอื่น ๆ เช่น การปรับปรุงลำน้ำ งบประมาณ 3,000 ล้านบาท รวมวงเงินบริหารพื้นที่ปลายน้ำทั้งสิ้น 153,000 บาท
รศ.ชูเกียรติ กล่าวอีกว่า แนวทางการบริหารโปรเจค backbone ทุกแผนงานต้องมีแผนการใช้ที่ดินกำกับอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นต่อให้ลงทุนด้วยงบประมาณมาก ก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่น กรณีหาดใหญ่ที่ลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท แต่สุดท้ายน้ำก็ยังท่วมอยู่ดี ทั้งนี้ สำหรับงบในส่วนของแบคโปน กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา รัฐจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 300,000 ล้านบาท โดยเป็นงบที่รัฐบาลใส่เพิ่มลงไปจากงบประมาณปกติที่หน่วยงานราชการได้รับ เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐมักทำแต่โครงการเล็กๆ เนื่องจากอ้างว่าไม่มีงบประมาณ
ปธ.สภาอุตฯ ห่วงความต่อเนื่องในการดำเนินการ
ในส่วนของภาคเอกชนและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนั้น นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ได้มีการหารือร่วมกันถึงแนวคิดการบริหารจัดการน้ำ 6 แนวทาง โดยแบ่งเป็นยุทธศาสตร์เร่งด่วน 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1.แนวทางการจัดตั้งบริษัทบริหารจัดการน้ำระยะยาว ซึ่งอาจทำในรูปแบบการระดมทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (ppp) 2.สนับสนุนการจัดรูปที่ดิน โดยปรับปรุงพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อรองรับภาคการผลิต ทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม 3.การอยู่ร่วมกันของภาคการผลิตและสังคมได้อย่างยั่งยืน
"ขณะที่ยุทธศาสตร์ระยะยาว ประกอบด้วย 1.การบริหารพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ ภาคการผลิต ทั้งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม 2.การบรูณาการหน่วยงานที่กำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ 3.สนับสนุนให้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่มีความล้าสมัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติงานและเผยแพร่ข้อมูลทีทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติ"
นายพยุงศักดิ์ กล่าวถึงแผนของภาคเอกชนดังกล่าวว่า มีความสอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐในการบริหารจัดการน้ำ ตามที่คณะกรรมการ กยน. เสนอแผนแม่บท 8 แผน อีกทั้งแผนแม่บทของ กยน. นั้นมีการศึกษาที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งวิธีการผันน้ำ กระจายน้ำ การดูแลในเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง และยังให้ข้อมูลด้านความเป็นอยู่ของประชาชน พื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และเมืองอย่างครอบคลุม นอกจากนี้การศึกษาดังกล่าวยังได้นำผลการศึกษาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และไจก้ามาพิจารณาร่วมด้วย แต่การดำเนินการนั้น สิ่งที่สำคัญคือการจัดหางบประมาณ และความต่อเนื่องในการดำเนินงาน เพราะแผนฯ หลายเรื่องต้องใช้ระยะเวลา
“การดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และทำให้ได้ตามแผนเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่น ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้ตามแผนฯ ผลกระทบต่างๆ จะได้รับการดูแล ผู้ประกอบการที่เตรียมจะลงทุนจะได้เชื่อมั่นและรีบฟื้นฟู วางแผนธุรกิจอย่างเต็มที่ ส่วนพื้นที่ที่ประสบภัยในปีที่ผ่านมา จะได้คำตอบที่จะไม่เกิดน้ำท่วมอีก”
ทั้งนี้ นายพยุงศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการที่จะดำเนินการในระยะเวลา 6-8 เดือน วงเงินงบประมาณ 17,000 ล้านบาท การบริหารจัดการต้องดูทั้งเรื่องฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ กล่าวคือ การก่อสร้างต่างๆนั้น ต้องสัมพันธ์กับการบริหารจัดการน้ำ การผันน้ำ การพยากรณ์ ขณะที่แผนระยะยาว วงเงินงบประมาณ 300,000 ล้านบาทนั้น ต้องทำอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไปตามวาระก็ตาม
กิตติรัตน์ ยัน รบ. มุ่งมั่น แก้น้ำท่วม ระบุ ทุกโครงการจำเป็น
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการบริหารงบประมาณตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญต่อประเทศชาติ
“การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของประเทศ ไม่ใช่การซุกหนี้ ไม่ใช่ย้ายหนี้ เพราะหนี้อยู่ตรงไหนก็เป็นหนี้ของประเทศ แต่เพื่อให้หนี้ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของแผ่นดิน และสามารถตัดสินใจลงทุนสร้างความมั่นคงให้ประเทศได้”
นายกิตติรัตน์ กล่าว และว่า สำหรับแผนงานในระยะเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการในระยะ 6-8 เดือนนั้น จะใช้งบประจำปี 2555 จำนวน12,610 ล้านบาท และงบประมาณส่วนที่ 2 อีกประมาณ 5,000 ล้านบาทจะใช้งบประมาณประจำปี 2556 ส่วนแผนระยะยาว ที่ใช้งบประมาณ 350,000 ล้านบาท จะไม่ได้มาจากงบประมาณปกติ ขณะนี้อยู่ระหว่างออกร่างกฎหมาย เนื่องจากเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และเพื่อให้โลกรู้ว่า ประเทศจะลงทุนจริงจังในมาตรการบริหารจัดการน้ำ”
นายกิตติรัตน์ กล่าวด้วยว่า แผนการบริหารโครงการจัดการน้ำของรัฐบาลจะอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เพราะจะมีบริษัทต่างชาติจำนวนมากที่จะเข้ามาเสนอตัวดำเนินงานก่อสร้าง และประเทศเหล่านั้นก็ล้วนมาจากประเทศที่มีมาตรฐานทางกฎหมายที่สูง ไม่อนุญาตให้มีการติดสนบาทคาดสินบน เพื่อให้ได้งานอย่างแน่นอน
“ประเทศไทยหมกหม่นอยู่กับเรื่องการทุจริตปฏิบัติมิชอบ หรือมีแผนแล้วไม่ทำมานาน แต่ปัจจุบันมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ และยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างซื่อตรง โปร่งใส เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับประเทศไทย รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย”
