กยอ. เสนองบฯ 2.27 ล้านล้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่

“อาคม” แจง กยอ. เตรียมขออนุมัติงบฯ จัดการน้ำ-ฟื้นฟูประเทศ วงเงิน 2.27 ล้านล้าน ระบุใช้งบฯแผ่นดินเพียง 1.13 ล้านล้าน เน้นกู้เงินภายในประเทศ คาดใช้เวลา 1 ปีครึ่งจัดหางบฯ ทั้งหมด
วันที่ 6 ธันวาคม คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ประชุม ครั้งที่ 1/2555 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรรมการ กยอ. และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ กยอ. ร่วมประชุม
นายอาคม แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการ กยอ.ว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาในเรื่อง 1.แผนความต้องการใช้เงิน เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งแบ่งออกความต้องการใช้เงินในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา 3 แสนล้านบาท,ความต้องการใช้เงินในการบริหารจัดการ 17 ลุ่มน้ำประมาณ 4 หมื่นล้านบาท รวมถึงแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
2.แผนความต้องการใช้เงินตามยุทธศาสตร์ฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ 5 เรื่อง ได้แก่ น้ำ การสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของไทย การสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบใหม่ และการพัฒนาธุรกิจประกันภัย
สำหรับความต้องการใช้เงินในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานนั้น เลขาธิการ กยอ. กล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบแล้วว่า มีความต้องการใช้เงิน 2.27 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน สื่อสาร สาธารณูปโภค และการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางอากาศและทางน้ำ ยกตัวอย่าง โครงการรถไฟความเร็วสูง 4 โครงการ การขนส่งมวลชนทางรางของกรุงเทพ โครงการวงแหวนรอบที่ 3 เป็นต้น
นายอาคม กล่าวถึงวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาทนั้น มีความต้องการใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินเพียง 1.13 ล้านล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นการใช้เงินกู้จากแหล่งเงินทุนภายในประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพคล่องเพียงพอ
นายอาคม กล่าวถึงวงเงิน 3.5 แสนล้านบาทที่ กยอ.เห็นควรให้มีการจัดสรรก่อนหน้านี้ด้วยว่า จะเป็นงบฯ ที่ใช้สำหรับดำเนินโครงการต่างๆ ในระยะเวลา 10 ปี ขณะที่โครงการที่สามารถอนุมัติได้ทันทีในปี 2555 นั้น อาทิ โครงการฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเจ้าพระยา ส่วนโครงการที่ต้องมีการออกแบบ อาจต้องไปอนุมัติและเริ่มดำเนินการได้ในปี 2556 แต่อย่างไรก็ตาม เงินกู้ทั้งหมดจะต้องดำเนินการจัดหาแล้วเสร็จในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง
ส่วนการเตรียมการด้านการเงินนั้น นายอาคม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบกฎหมายจำนวน 4 ฉบับ ซึ่ง กยอ. ก็เห็นว่ากฎหมายดังกล่าวจะเข้ามามีส่วนในการสร้างอนาคตของประเทศ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการต่อ
"เพื่อให้การใช้เงินลงทุนเป็นไปอย่างโปร่งใส ที่ประชุมเห็นควรให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการกรอบวงเงินลงทุน โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ผู้อำนวยการสำนักงบฯ เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการ ขณะเดียวกันจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามประเมินผลโครงการ ที่ได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปดำเนินการ โดยจะใช้กลไกเดียวกับคณะกรรมการของโครงการไทยเข้มแข็งไปก่อน จนกว่าจะมีการพิจารณาเป็นอย่างอื่น"
