ส.ว.คำนูณ ชี้ร่าง พ.ร.ก. โอนหนี้ 1.14 ล้านล้าน ใน ม.7 เข้าข่าย 3ปล้น 1 ทำลาย

สมาชิกวุฒิสภา จี้ รัฐบาลแยกประเด็นกองทุนฟื้นฟู ออกมาโดยเฉพาะ หวั่น ธปท. ถูกใช้ผิดหน้าที่ จะเกิดความเสียหายต่อประเทศในอนาคต ขณะที่ลูกศิษย์หลวงตาบัว ร้อง กมธ.วุฒิ ค้านรัฐบาลใช้เงินคลังหลวงใช้หนี้กองทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (9 ม.ค. ) ว่า กลุ่มผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นำโดยพระครูอรรถกิจ นันทคุณ ยื่นหนังสือคัดค้านการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านล้านบาทต่อคณะกรรมาธิการ การเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา โดยมีนายวิทวัส บุญญสถิต รองประธานคณะกรรมาธิการการเงินฯ นายคำนูน สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมาธิการ เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
พระครูอรรถกิจ กล่าวถึงสาเหตุที่กลุ่มออกมาคัดค้านแนวทางดังกล่าวเพราะต้องการรักษาเจตนารมณ์ของหลวงตามหาบัวที่ไม่ต้องการให้ไปยุ่งกับเงินคลังหลวง เพราะก่อนหน้านี้เคยมอบเงินและทองคำไปบริจาคเอาไว้ถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท และยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางการชำระหนี้โดยโอนดอกเบี้ยปี 6.5 หมื่นล้านบาทจากกระทรวงการคลังไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยชำระหนี้ดังกล่าวร่วมกับเงินต้นทั้งหมด และไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก. ของรัฐบาลเพราะเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดในการใช้เงินให้แก่รัฐบาลในอนาคตด้วย
ด้านรองประธานการคณะกรรมาธิการ การเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (10 ม.ค. ) เวลา 14.00 น. คณะกรรมาธิการได้เชิญนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.) มาร่วมประชุมเพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในเบื้องต้นตนไม่เห็นด้วยกับที่รัฐบาลผลักภาระการชำระดอกเบี้ยไปให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องแบงค์ชาติไม่มีหน้าที่ต้องหาเงิน แต่ทั้งนี้หากรัฐบาลจะดำเนินการจริงตนก็เห็นว่าควรออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เพราะจะมีความรอบคอบมากกว่า
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงเนื้อหาของร่าง พ.ร.ก. 4 ฉบับ ที่รัฐบาลเตรียมประกาศใช้ เป็นการเอาปัจจุบันเรื่องปัญหาน้ำท่วม อนาคตคือโครงสร้างพื้นฐาน และอดีต คือหนี้กองทุนฟื้นฟู 1.14 ล้านล้านบาทมารวมกัน ซึ่งตนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อหาของของร่าง พ.ร.ก. โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ใน มาตรา7 นั้น เข้าข่าย 3 ปล้น 1 ทำลาย 3 ปล้น คือ ปล้นธ.ป.ท. และสถาบันการเงิน ซึ่งในที่สุดจะผลักภาระมาที่ประชาชน อีกทั้งปล้นทางอ้อมไปยังคลังหลวงทุนสำรองพิเศษ
“ที่ผ่านมามีกระแสคัดค้านใน ร่างพ.ร.ก. มาตรา 7 มาตลอด ดังนั้นเพื่อความรอบคอบ รัฐบาลควรแยกเรื่องกองทุนฟื้นฟูออกมา และจัดทำเป็นร่างพ.ร.บ. ผ่านกระบวนการทางสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เนื่องจาก ในมาตรา7 มีประเด็นที่สำคัญที่สุด คือการทำลายระบบธนาคารกลาง การให้ ธปท. เข้ามารับผิดชอบภาระหนี้สินมีความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง เนื่องจาก ธปท. ไม่เหมือนรัฐบาลที่เก็บภาษีได้เอง แต่ธปท.มีหน้าที่พิมพ์ธนบัตร ดูแลรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และมีหน้าที่แทรกแซงค่าเงินบาท จึงเกรงว่าหาก ธปท. ถูกใช้ผิดหน้าที่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต อาจเสียหายเกินเยียวยา”
ส่วนนายอนุรักษ์ นิยมเวช สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงและต้องการให้รัฐบาลศึกษาให้รอบครอบ ว่าการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 2 ที่ระบุว่า การออก พ.ร.ก. ดังกล่าวต้องเป็นกรณีฉุกเฉิน มีความจำเป็น เร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือไม่ เพราะ ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกรัฐสภา 1 ใน 5 สามารถเข้าชื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
นายอนุรักษ์ กล่าวอีกว่า การจะออก พ.ร.ก.ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาอุทกภัย 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้นอกงบประมาณ รัฐบาลไม่มีรายละเอียดการดำเนินการของโครงการ ทำให้รัฐสภาไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งตรงนี้รัฐบาลสามารถออกเป็น พ.ร.บ.งบประมาณกลางปีได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องดูว่าเข้าเงื่อนไขที่จะออกเป็น พ.ร.ก.ได้หรือไม่ รวมถึงการออกซอฟต์โลนที่ให้ ธปท.สามารถอนุมัติปล่อยสินเชื่อได้ คิดว่าโดยหลักการรัฐบาลสามารถใช้กลไกโดยธนาคารของรัฐเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้ การผลักภาระให้ ธปท. จะกลายเป็นภาระของ ธปท.
“ส่วนการโอนหนี้จากกระทรวงการคลังไปให้ ธปท. จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ต้องถามว่าเป็นการโอนหนี้จริงหรือไม่ หรือเป็นการผลักภาระในการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย ซึ่ง ธปท.อาจผลักภาระต่อไปให้ประชาชนในอนาคต ทำให้ ธปท.อาจขาดอิสระในการดำเนินการ จึงอยากให้รัฐบาลดูกฎหมายด้วยความรอบคอบ ไม่เช่นนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัด รัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมือง”
