นักวิชาการ จี้ตั้งแม่ทัพน้ำ-สื่อสาร สร้างเอกภาพ ในภาวะภัยพิบัติ

“ปราโมทย์” แนะนักจัดการน้ำ-บริหารข้อมูล อย่าปกปิดปชช. แจงแนวโน้มสถานการณ์น้ำในช่วงอุทกภัย ด้านสว. สมุทรสงคราม ค้านข้อเสนอตั้งกระทรวงน้ำ หวั่นจะเกิดปัญหาคอขวด
วันที่ 17 มกราคม คณะอนุกรรมาธิการพิจารณา ศึกษา ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานด้านสิทธิและเสรีภาพ ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ จัดเสวนา เรื่อง “การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ในช่วงภัยพิบัติ : กรณีศึกษาการบริหารจัดการการสื่อสารมหาอุทกภัย 54” ณ อาคารสมาคมนักข่าวฯ โดยมี นายสุรจิต ชีรเวทย์ สมาชิกวุฒิสภา จ.สมุทรสงคราม นายปราโมทย์ ไม้กลัด รองประธานกรรมการ คนที่ 1 มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาด ร่วมเสวนา
มหากาพย์ใช้งบมหาศาล แก้ปัญหาปลายเหตุ
นายสุรจิต กล่าวว่า การบริหารจัดการความรู้และข้อมูลตันสินใจของรัฐบาลในช่วงภัยพิบัติไม่ได้บริหารบนข้อมูล แต่เป็นไปในลักษณะที่เพิ่มความรุนแรงของปัญหา ทั้งนี้ สังคมไทยมักลืมง่ายและโหยหาคำตอบง่ายๆ เพียงคำตอบเดียว เช่น ข้อเสนอให้ตั้งกระทรวงน้ำที่เดียว เพื่อแก้ปัญหาจากศูนย์กลาง แต่กลับจะทำให้ปัญหากลายเป็นคอขวด โดยที่รัฐมนตรีก็ตัดสินใจแบบไม่มีความรู้
“นักการเมืองที่นั่งอยู่บนยอด คอยร่างแผนปฏิบัติงาน ส่วนข้าราชการประจำก็ทำตามหน้าที่ แต่คำสั่งทางปกครองไม่ได้เดินไปพร้อมกับปัญหา ที่ผ่านมาเราเห็นแต่คำสั่งตามสูตร อย่างงบประมาณเพื่อตอบสนองแผนจัดการน้ำระยะสั้นจำนวนมหาศาลนั้น ก็ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะใช้ทำอะไรบ้าง ดังนั้น เราต้องถอดบทเรียนข้อนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นการแก้ปัญหาจะผิดพลาดเหมือนอย่างที่ผ่านมา ที่ใช้งบประมาณไปมหาศาลในการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”
นายสุรจิต กล่าวถึงแนวคิดในการแก้ปัญหาส่วนท้ายน้ำด้วยว่า ต้องทำน้ำให้แบน เตี้ยและสอดคล้องกับภูมิประเทศ แล้วค่อยเร่งน้ำลงทะเล ส่วนเรื่องผังเมืองที่มีความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงอยู่แล้วนั้น ก็ต้องสร้างยุทธศาสตร์ที่ยอมให้น้ำท่วมได้บ้าง แต่ชุมชนต้องมีส่วนร่วมในการเป็นจิกซอว์ตัวหนึ่ง ทั้งนี้ แม้วิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ จะเปลี่ยนไป แต่บางอย่างที่จำเป็นต้องรักษาไว้ก็ต้องทำ เช่น ลำคลองที่มีอยู่ในขณะนี้ก็ป่วยหมด ต้องสะสางทั้งคลองให้กลับมาใช้ได้ เพื่อเป็นทางระบายน้ำตามธรรมชาติ เพราะแนวคิดที่จะสู้กับน้ำนั้นเป็นแนวคิดทีสิ้นเปลืองมหาศาล
สำหรับยุทธศาสตร์การแก้ไขน้ำท่วมนั้น นายสุรจิต กล่าวด้วยว่า เราต้องยอมให้น้ำท่วมได้บ้าง ให้มีกระแสไหล และมีระดับที่ไม่สูงจนเกินไป ขณะที่แนวคิดตั้งสู้ นับเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล
ธรรมเนียมการเผยแพร่ข้อมูล จุดอ่อนหน่วยงานรัฐ
ขณะที่นายปราโมทย์ กล่าวถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติในครั้งนี้ เรียกได้ว่า เป็นมหาวิกฤติที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน กระทั่งเดือนกันยายน 2554 ที่ฝนเริ่มมาที่ภาคเหนือ ไล่เรียงจนมาเกิดพายุ และร่องความกดอากาศต่ำในช่วงเดือนกันยายน ในช่วงเหตุการณ์เหล่านั้นมีข้อมูลอยู่จำนวนมาก ทั้งข้อมูลน้ำฝน น้ำท่าและน้ำล้นตลิ่ง ซึ่งกรมชลประทาน และกรมอุตุนิยมวิทยาได้รวบรวมข้อมูลไว้อย่างตรงและชัดเจนที่สุด แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ การเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ
“ไม่ใช่เรื่องของความบกพร่องทางข้อมูล แต่หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐมีธรรมเนียมในการดูแลและเผยแพร่ข้อมูลแบบไม่เคร่งครัดจริงจัง ตั้งแต่อุทกภัยปี 2545 ปี 2549 และปี 2553 เรามีข้อมูลอุทกภัยอยู่มาก แต่อยู่ในคลังข้อมูล ไม่ได้นำมาเผยแพร่อย่างชัดเจน หน่วยงานราชการแถลงกับสื่อมวลชนก็เป็นแค่การเกาะติดสถานการณ์น้ำแบบธรรมดา แต่ข้อมูลการไหลของน้ำและน้ำล้นตลิ่งเป็นรายชั่วโมงไม่มีการเผยแพร่ ทำให้เกิดความโกลาหล ดังนั้น หน่วยงานไม่มีเจตนาที่จะปกปิด แต่จุดอ่อน คือ การให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบอกกล่าวข้อมูลสู่สาธารณะ”
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ในยุคนี้ข้อมูลมีหลายฝ่าย หลายหน่วยงานและเป็นข้อมูลที่มีความสับสน บางครั้งข้อมูลก็ไม่ผูกสัมพันธ์กัน อีกทั้งไม่มีการสื่อให้ประชาชนเห็นว่า ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งที่การเคลื่อนตัวของน้ำก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
“นักเทคนิคหรือผู้บริหารข้อมูลจะต้องสื่อให้ประชาชนรับรู้ว่า อันตรายที่เกิดขึ้นจากนี้จะเป็นอย่างไร และสื่อสารข้อมูลที่วิเคราะห์ผ่านสื่อ และที่ผ่านมาสื่อก็ได้รับข้อมูลแบบไม่เป็นระบบ ทั้งนี้ หากนักบริหารข้อมูลหรือนักบริหารน้ำไม่ทราบ หรือบริหารไม่ได้ ก็ต้องบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา อย่าปกปิด อย่างน้อยต้องบอกแนวโน้มว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในลุ่มน้ำได้รับทราบสถานการณ์ที่กำลังคืบคานมา และเตรียมการอย่างทันเวลา" นายปราโมทย์ กล่าว และว่า การบอกกล่าวให้ประชาชนที่มีส่วนกระทบจากอันตรายได้รู้ถึงสถานการณ์และสภาพที่แท้จริงอย่างถูกต้องและเป็นเอกภาพยังไม่เกิดขึ้น
ในส่วนที่รัฐบาลตั้งศูนย์ข้อมูล เช่น ศปภ. เข้ามารับผิดชอบและแก้ปัญหานั้น นายปราโมทย์ กล่าวว่า เป็นการบริหารข้อมูลและจัดการปัญหาที่ไม่มีแม่ทัพ ทำให้เกิดความสับสน ชุลมุนวุ่นวายและไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด
“การบริหารจัดการน้ำในปี 2538 ไม่ได้ตั้งศูนย์อพยพ แต่ละหน่วยงานช่วยกันคิด โดยรัฐบาลไม่ต้องมาก้าวก่ายมาก และมีการจัดการข้อมูลและแถลงข้อมูลอย่างเป็นจริง แต่ปัจจุบันไม่มีแม่ทัพน้ำ ในขณะที่น้ำเพิ่มระดับทุกวันแบบไดนามิก การให้ความสำคัญในการบอกกล่าวข้อมูลข่าวสารน้อยเกินไป และข้อมูลที่เผยแพร่ก็เป็นข้อมูลแบบชุลมุน ประชาชนรับข่าวสารแบบสับสน แท้ที่จริงแล้วประชาชนก็มีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กลับอ่อนปวกเปียกในการนำข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นไปให้ประชาชน”
นายปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งไว้โดยเฉพาะในปี 2538 ได้พระราชทานหลักคิดไว้มาก ว่า ไม่ควรอัดอั้นหรือกักกั้นน้ำ ต้องเร่งหาทางระบายน้ำลงอ่าวไทยโดยเร็วที่สุด ฟลัดเวย์ทางธรรมชาติก็มีอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของกทม. แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้นำมาต่อยอด คิดต่อและศึกษาเพิ่มเติม กลับกันมีการกักกั้นไม่ให้น้ำผ่านจนก่อให้เกิดความขัดแย้งและน้ำไม่มีโอกาสระบายสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นการทำให้ระบบธรรมชาติบกพร่อง
นายปราโมทย์ กล่าวถึง การทำงานของคณะกรรมการ กยน.ด้วยว่า แผนแม่บท 8 ข้อของ กยน.มีการกำหนดกรอบไว้กว้างมาก แต่ยังไม่มีการเริ่มศึกษารายละเอียดโครงการ รูปแบบของพื้นที่รับน้ำและจุดที่จะเป็นพื้นที่รับน้ำ รวมทั้งการทำความเข้าใจกับประชาชน แต่เริ่มพูดถึงค่าใช้จ่ายและอนุมัติตัวเลขงบประมาณไปแล้ว
รัฐแก้วิกฤติน้ำ ไม่คำนึงอารมณ์มนุษย์
ด้านรศ.ดร.เสรี กล่าวว่า เสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนไม่ได้เป็นปัญหา แต่ข้อมูลที่หน่วยงานต่างๆ เผยแพร่กลับไม่มีคุณภาพ และก่อให้เกิดความสับสน ทั้งที่มีข้อมูลอยู่ตั้งแต่กลางปี แต่รัฐบาลประเมินผิดและไม่ตระหนักว่า สถานการณ์อุทกภัยอยู่ในขั้นวิกฤติ การบริหารการสื่อสารจึงเป็นภาวะธรรมดา ไม่ใช่การสื่อสารในภาวะวิกฤติ
“เห็นด้วยว่า ควรจะมีแม่ทัพน้ำในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นเอกภาพ แต่ในด้านการสื่อสารก็ควรมีแม่ทัพสื่อเช่นกัน ไม่อย่างนั้นการสื่อสารจะเป็นไปอย่างสับสน ดังนั้น ในภาวะวิกฤติรัฐต้องตระหนักและตั้งหน่วยงานสื่อสารที่เป็นเอกภาพขึ้นมาทันที อย่ามองเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤติเป็นเรื่องสามัญสำนึก ที่ใครก็ทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะทำให้ประชาชนอยู่รอดปลอดภัยอย่างไม่วิตกหรือขาดข้อมูลจนเกินไป ดังนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลจึงล้มเหลวที่จะทำให้เกิดภาวะเช่นนี้”
รศ.ดร.เสรี กล่าวต่อว่า หน่วยงานแม่ทัพสื่อต้องมีรายงานประจำวันเป็นข่าวด่วน (Breaking News) จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีเอกภาพ ขณะเดียวกันการแก้วิกฤติของรัฐ ก็ไม่คำนึงถึงอารมณ์ของมนุษย์ การสื่อสารในภาวะวิกฤติไม่ใช่ว่าไม่มี แต่เป็นการสื่อสารที่ไร้คุณภาพและผิดพลาด ฉะนั้น เมื่อเกิดภาวะวิกฤติรัฐบาลต้องตระหนักตั้งแต่เริ่ม เพื่อทำงานเชิงรุก และเมื่อเกิดวิกฤติแล้วก็ต้องทำงานเชิงรับ โดยตั้งแม่ทัพทั้งฝ่ายเทคนิคและฝ่ายสื่อสาร รายงานให้ครบถ้วนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รัฐบาลทำอะไรไปบ้างและควรทำอะไรต่อไป
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า หน่วยงานนี้ต้องมีครบทั้งแม่ทัพน้ำ นักกฎหมาย นักเทคนิค เยียวยาทางกายภาพและเยียวยาอารมณ์ เรื่องที่อยู่อาศัยให้ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องโรคให้ ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข และเรื่องสภาพจิตใจให้ขึ้นกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งมีฝ่ายการเงินด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยด้วยว่า หลักๆ คือ ปัญหาการนิ่งเฉย กล่าวคือ ทั้งสื่อ นักวิชาการ ผู้นำทางความคิดและประชาชนต่างนิ่งเฉยกับปัญหา ทำให้ผู้ทำไม่ดี ตระหนักและฉกฉวยโอกาสในความเฉยนี้กระทำต่อไป
“เราสามารถแบ่งคนในสังคมไทย ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มชื่นชมคนทำไม่ดี 2.กลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการทำไม่ดี 3.กลุ่มผู้หวาดกลัวหากจะเปิดเผยข้อมูลผู้ทำไม่ดี และ 4.กลุ่มที่คิดว่าประเทศไทยไม่ใช่ของตนคนเดียว ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มก่อให้เกิดความนิ่งเฉยต่อปัญหา ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้ คือ สร้างกระแสในโซเชียลมีเดียให้แรง จนพวกออฟมีเดียนำมาเป็นกระแสสังคม เพราะปัจจุบันนี้คนที่ทำเลว ทำชั่วกลัวสื่อมากกว่ากฎหมาย”
