ศ.ศรีราชา ขีดเส้นเร่งรัด แก้ปัญหารุกที่ดินวังน้ำเขียว ให้เสร็จ 3-6 เดือน

ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยอมรับ ที่ดินวังน้ำเขียวเป็นปัญหาร้อน เป็นปัญหาเชิงระบบ จำเป็นต้องแก้อย่างรอบคอบ-พิจารณาเป็นรายกรณี รายแปลง พร้อมให้ความสำคัญข้อมูลจากประชาชน
วันที่ 19 มกราคม สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดโครงการสื่อมวลชนสัญจร “ผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นที่รับฟังและแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน ครั้งที่ 1” ณ หอประชุมอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
ศ.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงที่ดินวังน้ำเขียวเป็นปัญหาร้อน เป็นปัญหาเชิงระบบ จึงจำเป็นต้องแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ และต้องพิจารณาเป็นรายกรณี รายแปลง โดยอยู่บนหลักคิดที่ว่า เมื่อแนวนโยบายของรัฐที่ผ่านมาทางกระทรวงต่างๆ นั้น ไม่เป็นธรรม ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการลำบาก ขณะที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน การรับฟังข้อมูลจากประชาชนมีความจำเป็น
“ ปัญหาที่ดินวังน้ำเขียวนั้น เกิดจากการที่หน่วยงานภาครัฐ ทั้งในส่วนของกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ สปก. ถือแผนที่คนละฉบับ ฉะนั้น จึงได้นำแผนที่ทั้ง 3 ฉบับมาครอบทับกัน ขยายสเกลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้พบว่า พื้นที่มีการทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับของทั้ง 3 หน่วยงาน”
ส่วนแนวทางในการแก้ปัญหา ศ.ศรีราชา กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ถือครองที่ดิน หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ถูกต้อง สิทธิก็จะคงอยู่ เช่นเดียวกับกรณีที่อยู่ก่อนการประกาศเขตป่าสงวน ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ ก็จะไม่ถูกรอนสิทธิ์เช่นกัน แต่หากพบว่า เป็นผู้บุกรุกป่าจริง จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย พิจารณาไปตามความเป็นจริง เพื่อไม่ให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ส่วนผู้ที่รับโอนสิทธิ์ เข้าซื้อที่ดินโดยสุจริต หรือนำที่ดิน สปก. ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีแนวคิดที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบออกเป็นมติ ครม. เพื่อให้สามารถอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวต่อได้ 10 ปี ในกรณีที่ที่ดินอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์โซนซี และ 15 ปี สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โซนซี ทั้งนี้ กรมอุทยาน กรมป่าไม้ และ สปก.ต้องให้ความเห็นชอบด้วย
ทั้งนี้ ศ.ศรีราชา กล่าวถึงพื้นที่ที่ได้รับการอะลุ่มอะอล่วยให้อยู่ต่อ 10-15 ปี นั้น ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ไม่บุกรุกป่าเพิ่มเติม ก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติม ต้องมีการปลุกป่า และที่สำคัญต้องไม่มีการโอนสิทธิ์ต่อให้ผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีพื้นที่ที่มีปัญหา สปก. ออกไปทับที่อุทยานฯ หรือป่าไม้ ก็ต้องมีการตัดพื้นที่บางส่วนคืนกลับไป ซึ่งการหาทางออกนั้น ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างมีเหตุมีผล เป็นกลาง ไม่เข้าข้างหน่วยงานรัฐ หรือประชาชน แต่ต้องดำเนินการอย่างเห็นใจต่อผู้ที่เข้าไปยังพื้นที่โดยไม่รู้ที่มาที่ไป
“ที่ผ่านมาปัญหาในพื้นที่มีจำนวนมาก เพราะความใจเร็วของนักการเมืองที่ต้องการทำให้ได้ตามที่หาเสียงไว้ จึงเป็นช่องทางให้เกิดความไม่ละเอียดรอบคอบในการส่งมอบแผนที่ ทั้งนี้ ผู้ตรวจการจะเร่งรัด แก้ปัญหาการรุกที่ดินวังน้ำเขียว ให้แล้วเสร็จในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า โดยจะไม่สร้างปัญหาตามมาในอนาคต ขณะเดียวกันการแก้ปัญหาดังกล่าว จะกลายเป็น "วังน้ำเขียวโมเดล" ที่จะนำไปใช้การแก้ปัญหากรณีรุกที่ดินของรัฐทั่วประเทศต่อไป”
ขณะที่นายภูมิสิทธิ์ วังคีรี นายอำเภอวังน้ำเขียว กล่าวถึงปัญหาพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาว่า ประกอบด้วย 1.พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ทับซ้อนที่อยู่อาศัยที่ดินทำกินของประชาชน โดยรัฐบาลได้มีพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2524 ประกาศกำหนดให้ที่ดินป่าวังน้ำเขียว ตำบลสะแกราช และต.วังน้ำเขียว อำเภอปักธงชัย (ปัจจุบันเป็น ต.อุดมทรัพย์ ต.วังน้ำเขียว และ ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว) เป็นเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ขณะเดียวกันก็ได้มีการประกาศจัดตั้งหมู่บ้าน ตำบล ของกระทรวงมหาดไทย ที่ได้จัดตั้งบ้านบุไทร บ้านไทยสามัคคี ตำบลไทยสามัคคี ตั้งแต่ปี 2520
2.พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาภูหลวง (พื้นที่ป่าอนุรักษ์โซน C ) ทับซ้อนที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชน ใน ต.วังน้ำเขียว และ ต.วังหมี รวม 18 หมู่บ้าน ขณะเดียวกันการกำหนดพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์บางส่วนยังอยู่ในพื้นที่ดำเนินการของ สปก. และ 3.การใช้ประโยชน์ที่ดิน สปก. ที่ขัดต่อระเบียบ จำนวน 2,125 ราย เช่น การนำที่ดินไปใช้สร้างที่พัก รีสอร์ท สถานประกอบการอื่นๆ เนื่องจากได้ผลตอบแทนมากกว่าการประกอบอาชีพเกษตรกรรม การซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดิน สปก. เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย บ้านพักตากอากาศ
นายอำเภอวังน้ำเขียว กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวเขตที่ไม่ชัดเจน ซึ่งหากจะโทษว่า ใครเป็นคนผิด ก็ต้องโทษ ทั้งภาครัฐและประชาชน เพราะต้องยอมรับว่า มีประชาชนบางส่วนเข้ามาอย่างไม่ถูกระเบียบ ขณะที่หน่วยงานภาครัฐ ก็ไม่มีความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยนตาม
ด้านนายธาวิน อินทรจำนง ผู้อำนวยการสอบสวนสำนัก 3 กล่าวถึงความชัดเจนในเรื่องของการจัดทำแผนที่ว่า ต้องดูจากภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อจะได้ระบุได้ว่า พื้นที่ใดเป็นพื้นที่ทับซ้อน จากนั้นนำมาพิจารณาประกอบกับข้อมูลการอยู่อาศัยของประชาชน เพื่อความชัดเจนว่า บุคคลใดเป็นผู้บุกรุก
“แผนที่ที่จัดทำขึ้น ต้องนำมาสู่พื้นดินให้ได้ เพื่อจะได้นำไปสู่การแก้ปัญหา ทั้งนี้ การแก้ปัญหาดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และแนวนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ ในส่วนของหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ที่เกิดการทับซ้อน ไม่ว่าจะกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ สปก. ต้องมีการหารือร่วมกัน ไม่ใช่ผลักภาระไปที่ประชาชน”
นายธาวิน กล่าวด้วยว่า กรณีที่ดินวังน้ำเขียวนั้น ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะถือเป็นตัวอย่างที่จะนำไปใช้ในการพิจารณาข้อพิพาทกรณีรุกที่ดินของรัฐทั่วประเทศ
จากนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน เพื่อสำรวจพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว ระหว่างนั้น นายสุเทพ เฉลานอก อายุ 34 ปี ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 7 ต.ไทยสามัคคี ซึ่งมีปัญหาที่ดินทำกิน ออกโดย สปก ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าว ถึงความกังวลว่าพื้นที่ที่อยู่อาศัยนั้น จะมีการถูกเพิกถอนหรือไม่อย่างไรเพราะไม่มีความรู้และเข้าใจในเรื่องข้อกฎหมายมากนัก อีกทั้งอยากรับทราบแนวทางของทางภาครัฐในการบริหารจัดการ เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินพื้นที่เดียวของครอบครัวที่ใช้ทำการเกษตร ร่วมกับพี่น้องอีก 8 คน แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่า แต่เห็นพ่อแม่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เล็งผ่อนผันผู้ถือครองที่ ‘วังน้ำเขียว’ โดยสุจริตอยู่ต่อ15 ปี
http://www.thaireform.in.th/reform-the-news/item/6408--15-.html
"ผู้ตรวจการแผ่นดิน"ลงพื้นที่วังน้ำเขียว สอบกรณีรุกป่า โทษ จนท. รัฐต่างคนต่างทำงาน http://www.thaireform.in.th/reform-the-news/item/6287-qq-.html
