รัฐชูนโยบายเชิงโครงสร้างเป็นหลัก-ละเลยมิติอื่น เลขาฯ สช. หวั่นอาจเกิดความขัดแย้ง
สช.เตรียมจัดเวทีสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 4 “พลิกวิกฤตมหาอุทกภัย สู่การพัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติ” 2-4 ก.พ. นพ.อำพล แนะนโยบายสาธารณะควรมาจากทุกฝ่ายให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม เชื่อจะเกิดผลกับสาธารณะโดยตรง
วันที่ 9 มกราคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดงานแถลงข่าวสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 4 “พลิกวิกฤตมหาอุทกภัย สู่การพัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติ” โดยมี นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ในฐานะประธานคณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข และ นางภารณี สวัสดิรักษ์ ประธานเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม ร่วมแถลง ณ โรงแรม ปริ้นซ์ พาเลซ กรุงเทพฯ
นพ.อำพล กล่าวถึงมหาอุทกภัยที่ผ่านมา ทุกฝ่ายไม่ควรปล่อยให้วิกฤตครั้งนี้ผ่านไปโดยปราศจากการทบทวนบทเรียนใดๆ และแทนที่จะเห็นเพียงด้านลบของหายนะ ทุกภาคส่วนควรจะพลิกเปลี่ยนความทุกข์เป็นความหวังและโอกาสครั้งสำคัญที่จะร่วมมือกันโดยใช้สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างระบบการจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ
“ข้อเสนอเชิงนโยบายต้องไม่รอจากภาครัฐเท่านั้น ต้องให้ทุกฝ่ายเป็นคนคิด นโยบายสาธารณะควรจะมาจากทุกฝ่ายและช่วยกันผลักดัน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนานโยบายสาธารณะที่เน้นเรื่องชุมชนเป็นศูนย์กลางไม่ใช่รัฐเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดกระบวนการเตรียมการป้องกันหรือเผชิญเหตุต่างๆ” นพ.อำพล กล่าวและว่า หลังจากได้ข้อเสนอแล้วจะนำเข้าสมัชชาสุขภาพ และสมัชชาปฏิรูปต่อไป หลังจากนั้นทางภาคีเครือข่ายและองค์กรที่เกี่ยวข้องจะนำข้อเสนอไปผลักดันในช่องทางของตนเอง เพื่อให้เกิดการปฏิบัติและขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายสาธารณะ
นอกจากนี้ นพ.อำพล กล่าวอีกว่า นโยบายที่ออกมาโดยผ่านสมัชชาเน้นเรื่องให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งแตกต่างจากนโยบายที่ออกมาโดยรัฐ ที่คิดในเชิงของโครงการหรือนโยบายใหญ่ๆ ที่นำไปสู่การลงทุน แต่ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากเมื่อเกิดภัยพิบัติหรือต้องป้องกันภัยพิบัติ จำเป็นต้องมีแผนนโยบายในเชิงโครงสร้าง แต่ถ้าทำเฉพาะในส่วนนั้นอาจจะไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เต็มที่นัก และใช้งบประมาณมาก ซึ่งกระบวนการสมัชชาจะเป็นเครื่องมือที่เสริมกัน ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน
“นโยบายเรื่องการจัดการน้ำของรัฐที่ออกมาในขณะนี้ เน้นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ การแก้ปัญหาใดๆก็ตามโดยเฉพาะปัญหาที่สลับซับซ้อน ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาใหญ่ๆ ของบ้านเมืองเช่นนี้ แก้โครงสร้างพื้นฐานอย่างเดียวไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับมิติของความเชื่อ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วม ไม่ใช่จัดการแค่โครงสร้างพื้นฐาน”
เลขาฯสช. กล่าวต่ออีกว่า หากมีนโยบายในเชิงโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก โดยละเลยมิติอื่นๆ โอกาสที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งปัญหาแทรกซ้อนก็ยังมีได้อีก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าต้องลงทุนทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ชุมชน ผู้คนจำนวนมาก แล้วเดินหน้าไปโดยความปรารถนาดี โดยละเลยมิติอื่น หรือรีบร้อนเกินไป ขาดการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ส่งผลให้นโยบายและความปรารถนาที่ดี เกิดการติดขัดได้
“เราอาจต้องหันกลับมามองการทำนโยบายสาธารณะที่ต้องเปิดให้มีส่วนร่วมและเปิดมิติให้กว้าง และครอบคลุม ให้เป็นนโยบายสาธารณะที่แท้จริง โดยที่เริ่มจากสาธารณะมีส่วนร่วมผลักดัน ทำงานกับภาครัฐ โดยเกิดผลกับสาธารณะโดยตรง”
ขณะที่ นพ.พลเดช กล่าวว่า สมัชชาสุขภาพที่จะจัดขึ้นในวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นั้น จะมีการพูดถึงการจัดการกับภัยพิบัติโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะน้ำท่วม ฉะนั้นคณะทำงานได้เตรียมเอกสารโดยแบ่งภัยพิบัติธรรมชาติเป็น 7 เรื่อง โดยกลุ่มแรกคือ ภัยธรรมชาติทีเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ที่เราตั้งตัวได้น้อยมาก อาทิ สึนามิ ดินโคลนถล่ม พายุหมุน และแผ่นดินไหว ซึ่งเราประมาทไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มของภัยพิบัติที่เราคาดการณ์ได้ แต่เน้นเฉพาะที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง อาทิ มหาอุทกภัย ภัยแล้ง รวมถึงไฟป่าและหมอกควันด้วย
“จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจะพบว่า เมื่อถึงเวลาถ้าภัยขนาดใหญ่อย่างนี้แล้วรัฐเอาไม่อยู่ ต้องเริ่มจากชุมชนให้ชุมชนจัดการตนเอง ชุมชนต้องดิ้นรนในการแก้ปัญหาของตนเอง ซึ่งชุมชนที่มีความเข้มแข็งก็สามารถที่จะอยู่รอดได้ และมีผู้นำเกิดขึ้นมากมาย ฉะนั้นภาพต่อจากนี้ ประเด็นจะไม่อยู่ที่ทำนโยบายเพื่อเสนอให้รัฐเพียงอย่างเดียว แต่จะมีประเด็นที่ชุมชนสร้างจัดการตนเองได้ โดยสังคมหรือชุมชน ก็จะลงมือทำทันที”
ด้าน นพ.ศุภกิจ กล่าวถึงระบบการแพทย์และการสาธารณสุขในสถานการณ์คับขัน ว่า ระบบการแพทย์ในสถานการณ์คับขัน จำเป็นต้องได้รับการสังเคราะห์บทเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระบบการสื่อสาร การจัดการอาหาร เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นทุกชนิด ยานพาหนะสำหรับการขนส่งและขยะ การเตรียมระบบการออกหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่ การเตรียมสถานที่รักษาผู้ป่วยนอกสถานพยาบาล ระบบการเคลื่อนย้ายคนไข้ออกจากพื้นที่ประสบภัย การฝึกฝนทักษะให้แก่บุคลากรสาธารณสุขและอาสาสมัครในช่วงวิกฤต
“ยอมรับว่าในเรื่องระบบยังต้องมีการแก้ไข และเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น เช่น การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังว่า ต้องมีวิธีการจัดการในภาวะวิกฤตอย่างไร ซึ่งระบบข้อมูลเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ไม่มีพื้นที่รับผิดชอบโดยตรงของใคร จึงเป็นเรื่องที่ยากในการจัดการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของพื้นที่การให้บริการ ยกตัวอย่างเช่น สถานพยาบาลที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตทุกหน่วยงานต้องหารือกัน และบทเรียนที่สำคัญคือ เรื่องโลจิสติกส์การขนย้ายผู้ป่วย เนื่องจากเราไม่มีเครือข่ายข้อมูลที่ดีพอจึงทำให้เกิดความลำบาก” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า นอกจากนี้ต้องวางแผนระยะยาวด้วย เช่นในเรื่องของกฎหมายควบคุมอาคารสถานพยาบาลที่ต้องอำนวยต่อการทำงานสถานการณ์ฉุกเฉิน
สำหรับบทเรียนในเรื่องผังเมืองจากอุทกภัยที่ผ่านมานั้น นางภารณี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในเรื่องของผังเมืองไม่ค่อยมีใครพูดถึงในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ จนกระทั่ง เหตุการณ์โคลนถล่ม ดินถล่มเมื่อปีที่แล้วมาจนถึงมหาอุทกภัยครั้งนี้ ทำให้มีการพูดกันมากว่าเป็นความล้มเหลวในเรื่องของผังเมือง ซึ่งมีทั้งส่วนที่ผิดและถูก
“เดิมเรื่องผังเมืองและภัยพิบัติเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าผังเมืองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ แต่เจตนารมณ์ของการทำผังเมือง คือ การทำให้คนอยู่ในพื้นที่ที่มีลักษณะเสี่ยงภัยอยู่อย่างปลอดภัย แต่ทั้งนี้การที่ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นไม่ปลอดภัย ต้องกลับมาดูที่ต้นเหตุว่าเราใช้ประโยชน์ในบริเวณได้ถูกต้องหรือไม่ หรือกำหนดไว้ถูกต้องแล้ว แต่การอนุญาตให้มีการก่อสร้างมีช่องโหว่ตรงไหน ต้องมีการถอดบทเรียนกันว่า สาเหตุเกิดจากอะไร”
นางภารณีกล่าวด้วยว่า ประเด็นของเรื่องผังเมือง มีทั้งประเด็นของกฎหมายในการที่จะนำไปใช้บังคับ และเรื่องของเทคนิคในเรื่องของมาตรฐานการกำหนดพื้นที่ว่าเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่เมื่อเกิดภัยพิบัติ ซึ่งเป็นโจทย์หนึ่งของมาตรการผังเมือง
“เป็นประเด็นท้าทายในเรื่องของปัญหาภัยพิบัติที่เกิด เราอาจต้องเปลี่ยนว่าแทนที่จะให้เศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง อาจต้องหันกลับไปในมุมมองให้ธรรมชาติเป็นตัวนำ บทการกำหนดนโยบายที่ต้องบูรณาการ นี้เป็นความท้าทายของภาครัฐ แต่ทั้งนี้การบูรณาการบนความที่ชุมชนต้องมีส่วนร่วม และโจทย์สำคัญของการมีส่วนร่วมก็คือ ความพอดีและความเป็นธรรมในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสม”
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 9-10 มกราคม ทาง สช.และสำนักงานปฏิรูป (สปร.) พร้อมภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพกว่า 20 องค์กรทั่วประเทศ เปิดเวทีระดมสรรพกำลัง สังเคราะห์บทเรียนจากภัยพิบัติ เพื่อนำไปใช้พัฒนาระบบบริหารจัดการภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในอนาคต รวมทั้งนำบทเรียนไปปรับปรุงข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 4 พ.ศ.2554 ในวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ
