‘วารสารฯ มธ.’ จี้เอาผิดนิติราษฎร์ รวมตัวค้านแก้ไข มาตรา 112

‘วารสารฯ มธ.’ จี้เอาผิดนิติราษฎร์-เรียกร้องประชาคมธรรมศาสตร์ คัดค้านแก้ไข ม.112 ปิดช่องใช้ชื่อมหาวิทยาลัยสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ลานปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ “กลุ่มวารสารฯ ต้านนิติราษฎร์” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคณาจารย์ นักศึกษา ศิษย์เก่าของคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่มีการรณรงค์ให้มีการแก้ไข/ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมยื่นหนังสือต่ออธิการบดี โดยทางกลุ่มเห็นพ้องกันว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เป็นการใช้วิชาการบังหน้า มีจุดมุ่งหมายบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะที่การรณรงค์ดังกล่าว กลุ่มนิติราษฎร์ได้ใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นฐานการเคลื่อนไหว ภายใต้ข้ออ้างเสรีภาพทางวิชาการ แต่กลุ่ม ‘วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์’ เห็นว่า การรณรงค์นั้นได้ก้าวล้ำขอบเขตของข้ออ้างทางวิชาการไปเป็นการรณรงค์ทางการเมือง โดยมีมาตรา 112 เป็นเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งไม่เป็นการสมควรที่สถาบันการศึกษาจะถูกแอบอ้างโดยพฤตินัยไปสร้างความชอบธรรมให้การเคลื่อนไหวดังกล่าว
นอกจากนี้แถลงการณ์ฉบับดังกล่าว ยังระบุถึงข้อเรียกร้องของกลุ่ม ‘วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์’ ดังนี้
1.เรียกร้องต่อประชาคมธรรมศาสตร์ ให้รวมกันคัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ รวมทั้งการใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยไปสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวที่ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
2.เรียกร้องให้อธิการบดี มีคำสั่งสอบสวนคณาจารย์คณะนิติราษฎร์ ในการกระทำที่อาจมีความผิดทั้งทางวินัยและกฎหมายให้เป็นที่กระจ่างแก่มหาชน พร้อมลงโทษตามมูลความผิด
3.เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นรูปธรรม และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีพฤติกรรมล่วงละเมิดสถาบันในทุกรูปแบบอย่างจริงจังและเฉียบขาด
4.เรียกร้องต่อเพื่อนสื่อมวลชน ให้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอันเกี่ยวกับมาตรา 112 เพื่อไม่ขยายผลการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
5.เรียกร้องต่อประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ให้ร่วมกันแสดงตนคัดค้านการแก้มาตรา 112 ต่อต้านแนวคิดและการกระทำใดๆ ที่ส่อแสดงถึงการล่วงละเมิด-ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะที่ รศ.เสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ. กล่าวถึงการยื่นหนังสือต่ออธิการบดีฯ ในครั้งนี้ว่า เป็นการแสดงเจตนารมณ์ ไม่อยากให้เกิดภาพสถาบันไปถูกผูกพันกับความคิดดังกล่าว จนหลายคนคิดว่า ชาวธรรมศาสตร์เห็นด้วยกับแนวคิดนั้นทั้งหมด และเมื่อยื่นเสร็จก็ถือว่าหมดหน้าที่ หลังจากนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้บริหาร ซึ่งผู้บริหารไม่ได้มีแต่เราข้างเดียว คงต้องฟังอีกข้างหนึ่งด้วย เพื่อเอาน้ำหนักไปชั่งพิจารณา แต่ก็เชื่อว่า ผู้บริหารมีวิจารณญาณว่า อะไรถูกอะไรผิด
เมื่อถามว่า การแสดงเจตนารมณ์ครั้งนี้จะทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นหรือไม่ รศ.เสรี กล่าวว่า ถ้าใครออกหมัดคนแรกแล้วไม่เป็นไร ขณะที่คนออกหมัดที่หลังกลับกลายเป็นคนสร้างความแตกแยก ถ้าเป็นเช่นนี้ หากคนออกหมัดแรกในทางที่ถูกต้องก็ดีไป แต่ถ้าออกหมัดแรกในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องปล่อยให้ทำไปเรื่อยๆ เพราะถ้าทักท้วงจะกลายเป็นสร้างความแตกแยก ก็แย่ เพราะต่อไปใครจะตัดถนนขึ้นเขาใหญ่ จะกู้เงิน จะแก้มาตรา 112 ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ต่อไปใครที่ฉวยโอกาสตั้งประเด็นก่อน ไม่ว่าผิดหรือถูกก็โชคดีไป
เมื่อถามต่อว่า หากต่อไปอธิการบดีถอดถอนคำสั่งและให้นิติราษฎร์สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยได้ จะดำเนินการอย่างไร รศ.เสรี กล่าวว่า เป็นสิทธิของอธิการบดี แต่เมื่อตัดสินอย่างไรแล้ว คงต้องรอรับผลของการตัดสิน เพราะหากยืนตามเดิมกลุ่มนิติราษฎร์คงไม่ยอม ส่วนหากมีการอนุญาตผู้ที่ไม่พอใจก็คงไม่ยอมเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าอธิการบดีจะตัดสินอย่างไรก็ต้องยอมรับ ซึ่งหากถามในฐานะส่วนตัว ถ้าอธิการบดีตัดสินใจถอดถอนคำสั่งดังกล่าว ตนคงไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอธิการบดีคือผู้ที่มีอำนาจ คือคนที่ทรงไว้ซึ่งความรับผิดชอบในการตัดสินใจ จะก้าวก่ายความเป็นอธิการบดีไม่ได้
เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้มีบุคคล 2 กลุ่มที่แสดงความเห็นขัดแย้งกันอย่างชัดเจน สถานการณ์จะลุกลามบานปลายหรือไม่ รศ.เสรี กล่าวว่า หากเรามองในแง่ความแตกต่างของความคิด ไม่ไปมองว่าเป็นความแตกแยก แตกพวก สถานการณ์ไม่น่าลามปราม เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดได้ เช่น ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยว่าไม่ควรให้ใช้พื้นที่ ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าควรให้เสรีภาพ เพราะธรรมศาสตร์มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว หากยื่นหนังสือแล้วกลับก็ถือเป็นความแตกต่าง แต่ถ้าเมื่อใดมาชนกัน พูดจากระทบกระเทียบ กระแหนะกระแหน อันนี้คงไม่ดี
ส่วนการเลือกสถานที่ในการใช้สิทธิเสรีภาพอย่างไรจึงจะเหมาะสมนั้น รศ.เสรี กล่าวว่า การเลือกสถานที่ควรจะต้องไม่กระทบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้น ถ้าใช้สถานที่อื่น เช่น สวนลุมพินี สนามหลวง ก็คงไม่มีใครว่าเพราะไม่มีตัวตนที่ผูกพันกับสถานที่
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการแก้มาตรา 112 รศ.เสรี กล่าวว่า มาตราดังกล่าวมีไว้ เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในความเห็นส่วนตัวจึงคิดว่า ควรที่จะคงอยู่เช่นนี้ต่อไป
