ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ “ท้าจับตาจำนำข้าวไตรมาสแรก รู้กัน!! มาถูกทางหรือไม่”

“ราคาข้าวไทยแพงสุดโต่ง ไม่เพียงส่งออกไม่ได้
กลับไปกางร่มให้คู่แข่ง ปลูกข้าวเพิ่มมาขายแข่งกับเรา”
ครบรอบ 4 เดือนเต็มที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้านโยบายจำนำข้าว ผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านน้ำท่วม จนสต๊อกข้าวเข้าโครงการได้กว่า 6 ล้านตัน พร้อมกันนี้เตรียมเดินเครื่อง เริ่มโครงการจำนำข้าวนาปรัง ฤดูกาลผลิตใหม่ ในเดือนมีนาคม
ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สัมภาษณ์ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ ในฐานะนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮ่วยชวนค้าข้าว จำกัด ถึงทิศทางนโยบายข้าวไทยภายใต้โครงการรับจำนำข้าว หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ประกาศตลาดข้าวปีนี้ จะไม่เน้นการส่งออกข้าวในเชิงปริมาณ แต่จะเน้นการเพิ่มมูลค่า
4 เดือนกับการส่งออกข้าวไทย ภายใต้โครงการรับจำนำข้าว ?
ผมคิว่า การส่งออกข้าวได้รับผลกระทบโดยตรง จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล…
ดูจากตัวเลขการส่งออกตั้งแต่เริ่มโครงการรับจำนำข้าวเมื่อเดือนตุลาคม 2554 ยอดส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเดือนธันวาคมปี 2553 ส่งออกไปประมาณ 1 ล้านตัน แต่ธันวาคมปี 2554 ส่งออกได้ประมาณ 4.5 แสนตัน และหากเปรียบเทียบเดือนมกราคมปี 2555 ตัวเลขยังไม่ถึง 3 แสนตันด้วยซ้ำ เทียบกับมกราคม 2554 ตัวเลขส่งออกเกือบ 1 ล้านตัน
ดังนั้นจึงสามารถประเมินง่ายๆ ว่า หมดเดือนมกราคม 2555 ตัวเลขการส่งออกข้าวลดหายไปเกือบๆ 60%
“เป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่า การส่งออกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากการยกระดับราคาของโครงการรับจำนำข้าว”

แน่นอนว่า...ไม่มีใครคัดค้านนโยบาย หรือแนวคิดช่วยเหลือเกษตรกร แต่จะต้องเป็นวิธีที่ทำให้ผลกระทบต่างๆ เกิดขึ้นน้อยที่สุด เพราะการส่งออกข้าวไม่ได้ หมายความว่า ข้าวยังตกค้างอยู่ในประเทศ และยิ่งนานวันข้าวที่อยู่ในสต็อก โดยเฉพาะสต็อกของรัฐบาลจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปะทะกับข้าวนาปรังที่กำลังจะออกมาในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ และคาดว่าจะมีปริมาณมาก เนื่องจากมีน้ำท่าบริบูรณ์ และมีราคาที่จูงใจให้เกษตรกรปลูกมากขึ้น จะเพิ่มปริมาณข้าวในสต็อกให้มากขึ้นอีก
ขณะที่การส่งออกข้าวไทยอาจจะลดลงจาก 10 ล้านตัน เหลือแค่ 6-6.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่หายไปมาก
ตลาดข้าวไทย กับการยกระดับราคาข้าวส่งออก?
ราคาข้าวในตลาดโลกเหมือนจะดูดี แต่เมื่อทุกประเทศเล็งเห็นว่า ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ มีข้าวในสต็อกอยู่มาก และขายข้าวราคาสูง ทำให้ตลาดโลกขึ้นราคาลำบาก เพราะทุกประเทศรู้ว่า รัฐบาลไทยต้องปล่อยข้าวในสต็อกไม่วันใดวันหนึ่ง เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพได้ง่าย ปีเดียวก็เริ่มเสื่อมแล้ว
ดังนั้น หากมองในระยะยาวภาระของภาครัฐจะมากขึ้นเรื่อยๆ
“ยิ่งราคาข้าวไทยแพงขึ้นสุดโต่ง ราคาต่างประเทศก็รับไม่ได้ ไม่เพียงทำให้เราส่งออกไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการส่งเสริมให้ประเทศคู่แข่งเราปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น เพื่อมาขายแข่งกับเรา เหมือนไปกางร่มให้เขา เขาก็จะปลูกมาแข่งกับเรามากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน”
การส่งออกข้าวไทย จากที่เคยเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด 30 ปี ก็อาจจะเสียตำแหน่งไปได้ เพราะประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม ก็มีการพัฒนาอย่างมาก โดยเฉพาะการเพาะพันธุ์ข้าว เรียกได้ว่า ตอนนี้เวียดนามหายใจรดต้นคอไทยแล้ว มองแล้วทั้งเหนื่อยและลำบากใจ
ทั้งนี้ ผมได้พยายามเสนอกับภาครัฐว่า ควรต้องมีวิธีการอื่นที่ช่วยให้ระบายข้าวไปต่างประเทศได้ ไม่อย่างนั้นไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปเรื่อยๆ และรัฐบาลจะมีภาระในการเก็บรักษาข้าวมากขึ้น อีกทั้งต้องนำเงินมาช่วยในโครงการรับจำนำปีละหลายแสนล้านบาท
แต่ที่ผ่านมา (หยุดถอนหายใจ) ....ข้อเสนอก็ยังไม่ได้ความสนใจจากรัฐบาล
คิดอย่างไรที่ ก.พาณิชย์มั่นใจ ว่าจะ สามารถยกระดับราคาข้าวส่งออกได้เกิน 700 เหรียญสหรัฐ?
การจะดึงราคาส่งออกให้ขึ้นไปได้ถึง 700-800 เหรียญสหรัฐนั้น เป็นไปได้ยาก (เน้นเสียง)
นอกจากจะเกิดวิกฤตการณ์เช่น วิกฤติอาหาร หรือน้ำมัน เพราะการเพิ่มหรือลดราคาข้าวในตลาดโลก ต้องมีปัจจัยกำลังซื้อ และกำลังผลิตของทั่วโลกมาเกี่ยวข้อง ซึ่งในปีนี้ผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจาก 450 ล้านตันทั่วโลก เป็น 460 ล้านตัน ในขณะที่การบริโภคเพิ่มขึ้นไม่มาก ทำให้ในปี 2555 กำลังผลิตจะมากกว่ากำลังซื้อ
ปัจจัยต่อมาที่มีผลต่อการเพิ่มหรือลดราคาข้าว คือ ราคาพืชไร่อื่นๆ เช่น ข้าวสาลี ที่ปีนี้ราคาไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีผลผลิตเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก อยู่ที่ 230-240 เหรียญ จากระยะปกติราคาข้าวจะเป็น 2 เท่าของราคาข้าวสาลี อยู่ที่ 450-460 เหรียญ อันเป็นราคาที่ประเทศคู่แข่งไทย เช่น อินเดีย เวียดนาม และปากีสถานขายอยู่ในขณะนี้
มีเพียงไทยที่ขึ้นไป 520 เหรียญ และมีโอกาสทะยานขึ้นไปถึง 700 เหรียญในราคารับจำนำ
ผมว่าความคิด ความเชื่อที่ว่าราคาข้าวเคยขึ้นไปได้ถึง 1,000 กว่าเหรียญ แต่ตอนนี้ลดลงมากนั้น ต้องพิจารณาด้วยว่าช่วงที่ราคาขึ้น เช่น ปี 2008 นั้นมีวิกฤตการณ์อาหาร และราคาน้ำมันขึ้นด้วย เพราะหลายประเทศมีการกักตุนสินค้า แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
และความคิดที่ว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ สามารถกำหนดราคาได้ ก็ล้วนเป็นความคิดที่ไม่จริง และไม่ควรนำมาใช้ เพราะมีหลายประเทศที่ส่งออก และปลูกข้าวรับประทานเอง จะกำหนดราคาเอง หรือขายแพงมากไมได้ ทุกอย่างต้องมีความสมดุล
แล้วความเชื่อที่ว่า ภาวะน้ำท่วม คือ ผลกระทบหลักให้การส่งออกลดฮวบ?
(อืม...) ภาวะน้ำท่วม อาจส่งผลให้ข้าวบางส่วนเสียหาย แต่ในภาคอีสานที่มีผลผลิตต่อไร่ดีขึ้นมาก กลับไม่มีใครพูดถึง
ซึ่งข้าวส่วนนี้ เมื่อรวมกับข้าวนาปรังที่คาดว่าจะได้ปริมาณมากจากเดิม ข้าวเปลือก 8 ล้านตัน ปีนี้อาจจะขึ้นไปได้ถึง 11-12 ล้านตัน เพราะมีน้ำบริบูรณ์ ส่วนพื้นที่ถูกน้ำท่วมก็ได้ปุ๋ยธรรมชาติ ประกอบกับราคารับจำนำข้าวที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้เกษตรกรปลูกเพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็จะมาชดเชยในส่วนของข้าวนาปีที่เสียหายไปได้
โดยภาพรวมผลผลิตที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม อาจไม่ขาดหายไปเท่าไหร่ และไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่ทำให้การส่งออกน้อยลง เพราะข้าวในสต็อกก็ยังมีอยู่
“ผมมองว่า ในระยะยาวการจะสร้างกลยุทธ์ หรือนโยบาย ควรจะต้องอิงกับข้อเท็จจริง ไม่ใช่อิง หรือคาดคะเนว่า ประเทศอื่นจะเสียหาย แล้วเราจะได้ดิบได้ดี เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน และไม่มีความแน่นอน เราจะต้องทำให้ต้นทุนเราถูกลง ให้สามารถขายแข่งกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืน"
ทุกวันนี้หลายประเทศเร่งการปลูกข้าวมากขึ้น ทั้งพม่า และกัมพูชา ก็เพิ่มผลผลิตขึ้นจากเดิมเคยปลูก 6-7 ล้านตัน ก็เพิ่มไป 9-10 ล้านตัน และมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นอีก เป็นที่น่าจับตาว่า ในอนาคต หากมีการพัฒนา หรือมีประเทศผู้ซื้อเข้าไปลงทุนมากๆ จะกลายเป็นคู่แข่งของไทยอีกราย
แล้วควรทำอย่างไรถึงจะยกระดับราคาข้าว กับคุณภาพข้าวไทยได้?
สิ่งที่ผมอยากเห็น คือ การช่วยเหลือเกษตรกรโดยไม่ทำให้กลไกตลาดเสีย เพราะตามพฤติกรรมการบริโภคของคน ลูกค้าที่หายไปจะดึงกลับมาได้ยาก อาจทำให้ไทยต้องสูญเสียตลาดนี้ไปอย่างถาวรก็ได้
ทั้งนี้ ก็ต้องยอมรับว่า ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศอื่นเสมอ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ คือการพัฒนาคุณภาพข้าวให้ดีขึ้นหนีคู่แข่ง
ทุกวันนี้คู่แข่งเราพัฒนาไปได้มาก โดยเฉพาะข้าวขาวใกล้เคียงแทบไม่แตกต่างกับข้าวไทย ในขณะที่ราคายังแตกต่างกัน 80-90 เหรียญ เช่นเดียวกับข้าวหอม ที่กัมพูชา เริ่มหันมาปลูกมากขึ้นและมีคุณภาพใกล้เคียงกับไทยมาก
ที่สำคัญขายถูกกว่าไทย ตันหนึ่งกว่า 200 เหรียญ ซึ่งประเทศเหล่านี้กำลังมาแย่งตลาดเราไปเรื่อยๆ เหมือนที่ไทยเริ่มสูญเสียตลาดฮ่องกง จากเดิมนำเข้าข้าวไทย 90% เหลือ 60% จากการที่ราคาข้าวไทยสูงโด่งจนผู้บริโภครับไม่ไหว เหตุการณ์เหล่านี้ค่อยๆ เกิดขึ้นจนเริ่มน่าเป็นห่วง
สำหรับเรื่องคุณภาพ (เสียงอ่อน) ผมไม่ค่อยเห็นว่า มีการพัฒนาอย่างจริงๆ จังๆ
หากเราดูงบประมาณการวิจัยเพื่อพัฒนา (Research and Developmnet : R&D) ในไทยมีน้อยมาก และน้อยกว่าเวียดนามที่มีมากกว่าเรา 10 เท่า ในการใช้งบประมาณเพื่อการวิจัยศึกษาคุณภาพและพันธุ์ข้าว งบประมาณของเราส่วนใหญ่มุ่งเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก ไม่ว่าจะรับจำนำ หรือประกันรายได้ โดยที่ปีหนึ่งๆ ต้องเสียงบประมาณในส่วนนี้ไปเป็นแสนๆ ล้านบาท
“คุณภาพ เป็นสิ่งที่ผมพยายามนำเสนอมาโดยตลอด เพราะคุณภาพข้าวไทยในขณะนี้ไม่ใช่ดีขึ้น แต่กำลังแย่ลง ข้าวหอมไทยวันนี้ไม่หอมเลย ไม่เหมือนในอดีต เพราะพันธุ์ข้าวเริ่มกลายพันธุ์ สืบเนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเกษตรกร เป็นการทำลายดินทาง และทำให้กลิ่นอโรม่าในข้าวหายไป"
สินค้าพรีเมี่ยมที่เราเคยเหนือกว่าประเทศอื่นก็หายไป ในขณะที่ประเทศอื่นพัฒนาขึ้น เรากลับกินบุญเก่า เรื่องนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ส่งออกข้าวปี 2555 อย่างไรบ้าง?
สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยปี 2555 ภายใต้นโยบายจำนำข้าว ดูแล้วค่อนข้างเหนื่อย เพราะปริมาณจะหายไปเกือบ 40% จากปีที่แล้วที่เราเคยส่งออก 10.5 ล้านตัน ปีนี้อาจเหลือ 6.5 เพราะมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะการกลับมาส่งออกข้าวของประเทศอินเดีย และเป็นการกลับมาพร้อมข้าวจำนวนมหาศาล บวกกับราคาที่ต่างกับไทยเกือบๆ 100 เหรียญ
“ตามราคารับจำนำข้าวของรัฐบาลประกาศไว้ 15,000 บาท ทำให้ไทยต้องขายข้าวอย่างต่ำ 750 เหรียญ โดยที่ตอนนี้ 530 เหรียญ ยังขายไม่ออก หากดูจากสภาวะเช่นนี้ เชื่อได้ว่า การส่งออกในปีนี้ก็คงจะหลุดเป้าไปเยอะมาก คิดไม่ออกเลยว่าจะเหลือเท่าไหร่ จากเดือนแรกที่ออกมา 3 แสนตันก็ใจหายมาก เพราะปกติช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ ที่เพิ่งมีข้าวรอบใหม่ จะเป็นเดือนที่ขายข้าวได้ราคาดีที่สุด และในช่วงเดือนมีนาคม ข้าวรอบใหม่ของเวียดนามก็จะออกสู่ตลาดอีก"
ดูสถานการณ์แล้ว 6 เดือนแรกการส่งออกไทยท่าทางจะเดี้ยง (เน้นเสียง)
ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องดึงราคาให้สูงถึง 700 เหรียญ ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะปัจจัยที่จะกำหนดราคาข้าวก็เป็นไปตามกำลังซื้อ กำลังผลิต และราคาพืชผลอื่นๆ เป็นไปตามกลไกตลาด สำหรับส่วนต่าง หากภาครัฐจะช่วยเหลือเกษตรกร ก็ควรช่วยเรื่องการชดเชย หรือวิธีอื่นที่มีมากมาย
…หากช่วยแต่เรื่องราคา ก็จะส่งผลให้ทุกอย่างถูกบิดเบือนไปหมด แม้จะตั้งราคาสูงได้ ก็คงขายไม่ได้
จากนี้ ตัวเลขการส่งออกอีกประมาณ 3 เดือน หรือไตรมาสแรกก็น่าจะพอมองเห็นภาพชัดๆ และเป็นตัวพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้ เดินไปอย่างถูกทางหรือไม่ และหากยังดื้อดึงที่จะทำต่อไป ก็คงต้องตัวใครตัวมันแล้ว…
