"WHO" ชม 10 ปีหลักประกันสุขภาพไทย สำเร็จ-โปร่งใส ยกให้เป็น 'ตำนาน'

ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ แนะ ทศวรรษหน้า หลักประกันสุขภาพ ควรเน้นป้องกันโรค-ขยายให้ครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ พร้อมเผย ปี 53 คนไทยพอใจสูงสุด 90%
วันที่ 24 มกราคม สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (World Health Organization: WHO) ร่วมกันแถลงข่าวรายงานประเมินผลระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในช่วงทศวรรษแรก (พ.ศ.2545-2554) ภายใต้กรอบการประเมิน 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนานโยบายและการออกแบบระบบ บริบทด้านนโยบายรัฐ การดำเนินนโยบาย ระบบอภิบาล และผลกระทบของนโยบาย ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ กรุงเทพฯ
ดร.ทิมโมธี แกรนด์ อีแวนส์ (Dr.Timothy Grant Evans) หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ กล่าวถึงระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย พ.ศ. 2540 ในขณะที่ประเทศมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียง 1,900 เหรียญสหรัฐเท่านั้น อีกทั้งยังถูกคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจำนวนหนึ่ง แต่ระบบดังกล่าวยังสามารถขยายความครอบคลุมได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นประเทศที่ร่ำรวยก่อน ถึงจะเริ่มนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้
“จากการศึกษาในช่วงทศวรรษแรก พบว่า ระบบหลักประกันสุขภาพสามารถครอบคลุมประชากรไทยได้ถึง 47 ล้านคน หรือ 75% ของประชากรทั้งหมด และยังพบว่า ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้เพิ่มขึ้น หลักฐานคือ จำนวนการใช้บริการผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นจาก 2.41 ครั้ง/คน/ปี ในปี พ.ศ. 2546 เพิ่มขึ้นเป็น 3.64 ครั้ง/คน/ปี ในปี พ.ศ. 2554 ขณะที่อัตราการนอนรักษาตัวในรพ.เพิ่มจาก 0.067 ครั้ง/คน/ปี เป็น 0.119 ครั้ง/คน/ปี ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถลดภาระรายจ่าย และปกป้องครัวเรือนไม่ให้ล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลที่สูง เนื่องจากครัวเรือนที่ล้มละลาย เพราะค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี พ.ศ. 2538 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 ในปี พ.ศ. 2551 ทำให้สามารถช่วยป้องกันครัวเรือนไม่ให้ยากจนได้กว่า 80,000 ครัวเรือน”
ขณะที่ระดับความพึงพอใจของประชาชนก็เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 83 ในปี พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 90 ในปี พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการที่เคยมีระดับความพึงพอใจต่อระบบดังกล่าวค่อนข้างต่ำในระยะแรก คือเพียงร้อยละ 39 ในปี พ.ศ. 2547 กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 79 ในปี พ.ศ. 2553
ดร.ทิมโมธี กล่าวด้วยว่า การที่ประเทศไทยขยายความครอบคลุมได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีความพร้อมด้านโครงสร้างการให้บริการที่ครอบคลุมเต็ม มีการจัดโครงสร้างการเงินการคลัง ที่ออกแบบอย่างชาญฉลาด หลักแหลม เพราะนำตัวอย่างที่น่าสนใจของประเทศต่างๆ มาปรับใช้ ขณะที่วิธีการนำไปปฏิบัติก็มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ อีกทั้งบริหารความขัดแย้งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการปฏิรูปหลักประกันสุขภาพนั้น เป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ความต้องการด้านสุขภาพ ทั้งของผู้ใช้และให้บริการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“ทั้งนี้ สำหรับงานที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องในทศวรรษหน้า ได้แก่ 1.จะต้องให้ความสำคัญกับระบบการบริการปฐมภูมิ การส่งเสริมสุขภาพ โดยต้องนำใส่ไว้ในระบบประกันสุขภาพ 2.เจ้าหน้าที่ด้านบริการสาธารณสุขต้องได้รับการส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติงานได้ 3.ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้ระบบเป็นตัวแทนของผู้มีส่วนได้เสียที่แท้จริง ทั้งในส่วนของการอภิปรายระบบ การคัดเลือกผู้นำ การจัดหาคณะกรรมการอำนวยการของระบบ”
ขณะที่ ดร.มอรีน อี.เบอร์มิ่งแฮม (Dr.Maureen E.Birmingham) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (WHO) กล่าวถึงมุมมองต่างชาติต่อหลักประกันสุขภาพของไทยว่า นานาชาติมองว่าการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพของไทย เรียกได้ว่าเป็นตำนาน เพราะประเทศไทยได้เริ่มเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าว ตั้งแต่สมัยยังประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวย อีกทั้งยังทำได้อย่างประสบความสำเร็จ มีการตรวจสอบที่โปร่งใส โดยมีการดึงผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาประเมินผลระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า ประเทศไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการรู้ถึงข้อดี ข้อด้อย เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขต่อไป
ผู้แทน WHO กล่าวต่อว่า ในช่วงทศวรรษแรกของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประเทศเน้นในเรื่องการเงินการคลัง เพื่อให้ระบบอยู่รอด แต่ในทศวรรษต่อไปนั้น น่าจะเน้นในเรื่องของการป้องกันโรค การบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ สุขภาพชุมชน การป้องกันโรคและส่งเสริมให้ประชาชนมีพลังในการดูแลสุขภาพของตนเองในลักษณะสุขภาพเชิงบวก (positive health) โดยนำข้อมูล ประสบการณ์ ทักษะของบุคลากรที่มีอยู่เดิมมาใช้ ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วย (negative health) ทั้งนี้ เนื่องจากในอนาคตต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ โรคเรื้อรัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
นอกจากนี้ ผู้แทน WHO ยังกล่าวถึงการขยายหลักประกันสุขภาพทั่วหน้าให้ครอบคลุมไปถึงแรงงานข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ในประเทศไทยประมาณ 2-4 ล้านคนด้วยว่า กลุ่มแรงงานข้ามชาติดังกล่าว ถือว่ามีคุณูประการต่อระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศไทย การขยายหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมกลุ่มคนดังกล่าว จึงต้องมาคิดอ่านกันว่าจะทำอย่างไร เพราะหลักประกันสุขภาพนั้น นอกจากเป็นเรื่องสวัสดิการสังคมแล้ว ยังเป็นเรื่องความมั่นคงทางสุขภาพของทั้งแรงงานต่างชาติ และคนไทยทุกคน
ทั้งนี้ ผู้แทน WHO กล่าวด้วยว่า สำหรับบทเรียนด้านหลักประกันสุขภาพของไทยนั้น wHo จะผลักดันให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถูกนำไปใช้ประโยชน์ทั่วโลก โดยถ่ายทอดประสบการณ์ผ่าน 4 ช่องทางคือ 1.จัดเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำระดับสูง ที่มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อให้มีภาระผูกพันและเข้าใจในเรื่องสาธารณะสุขด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องของการสร้างภาระ เพิ่มต้นทุน แต่เป็นการลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่ากลับมา ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ 2.ผลักดันกระบวนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม เอ็นจีโอ รวมถึงนักวิชาการที่ต้อง เป็นพันธมิตรกัน 3.นำยุทธศาสตร์ที่ได้จากประเทศไทยไปเผยแพร่ผ่านความช่วยเหลือทางวิชาการ ทางรายงานประจำปีขององค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย โดยจะมีการส่งต่อไปยังประเทศต่างๆ และ 4.จัดตั้งกลไกติดตามความก้าวหน้า ในการดำเนินการของหลักประกันสุขภาพในประเทศทั่วโลก
ด้าน ดร.นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) เครือสถาบันของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า จากการสรุปบทเรียน 10 ปีของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยในครั้งนี้ มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ 1.นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องเป็น“วาระแห่งชาติ” ที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากฝ่ายการเมือง ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ เนื่องจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแสดงให้เห็นแล้วว่า นอกจากจะช่วยทำให้สุขภาพประชาชนดีขึ้นแล้ว ยังเป็น “มาตรการ” ลดปัญหาความยากจนได้อย่างเป็นรูปธรรม
“2.การพัฒนาโครงสร้างระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะที่ระดับปฐมภูมิให้ครอบคลุมโดยมีกำลังคนด้านสุขภาพที่พอเพียง และ 3) การออกแบบระบบที่ดี เช่น ระบบงบประมาณและการจ่ายเงินสถานพยาบาลแบบปลายปิด ระบบคู่สัญญา (contact model) ที่แยกบทบาทความรับผิดชอบชัดเจน รวมทั้งการกำหนดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมรอบด้านให้แก่ประชาชน”ดร.นพ.สัมฤทธิ์ กล่าว
ส่วน นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวถึงความท้าทายใหม่ และการพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในทศวรรษหน้าว่า จะต้องมีการแก้ไขปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสถานพยาบาลต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน การสร้างความเป็นธรรมระหว่างกองทุนประกันสุขภาพหลัก 3 กองทุน การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนและระบบบริการสุขภาพ โดยมุ่งเน้นที่สิทธิด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเพิ่มขึ้น การสนับสนุนระบบบริการปฐมภูมิให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะยาวในชุมชนและครอบครัว การประเมินเทคโนโลยีและยาต่างๆ ก่อนรับเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์
“นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุข ควรเป็นผู้นำผลักดันให้เกิดการกระจายบุคลากรด้านสุขภาพ โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ประกอบการพัฒนานโยบาย และการสร้างความเข้มแข็งกลไกอภิบาลระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยการพัฒนากระบวนการสรรหาผู้แทน การพัฒนาระบบให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบที่ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในระดับนโยบายต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อมุ่งให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในทศวรรษหน้าของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทย”
