“สุริชัย” ตอบโจทย์พัฒนาชนบท จี้รบ. ใหม่เร่งแก้ปัญหาที่ดิน-กระบวนการยุติธรรม

ผอ.ศูนย์ศึกษาสันติภาพฯ ย้ำ รบ.ยิ่งลักษณ์ อย่ามองข้ามการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เตือนใช้แต่เม็ดเงิน ระวังสร้างความแตกแยกมากขึ้น ด้านดร.อภิชาต เผยคนชนบทลงทุนหนักด้านการศึกษา หวังยกระดับลูกหลาน ไม่ถูกมองเป็นคนชั้นล่าง
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนา “ภูมิทัศน์และการเมืองของการพัฒนาชนบทไทยร่วมสมัย” ณ อาคารเอนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมี ผศ.ดร.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ มูลนิธิชีววิถี ร่วมเสวนาเรื่อง “ก้าวต่อไปของการศึกษาและการพัฒนาชนบทไทย”
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่า ปัจจุบันชนบทเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากทุนนิยมเข้าไปในทุกพื้นที่ การค้า การเกษตรแบบพันธะสัญญา (contract forming) เป็นปฏิบัติการณ์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของทุนนิยมล้วนๆ โดยในภาพรวมพบว่า ภาคกลางมีการใช้แรงงาน ใช้สารเคมีในการเพาะปลูกอย่างเข้มข้น แต่ข้าวที่ปลูกได้ทุกเมล็ดกลับนำไปขายทั้งหมด ขณะที่ภาคอีสาน การปลูกข้าวก็ใช้ทุนเข้มข้นไม่ต่างกัน แต่การปลูกข้าวเป็นไปเพื่อป้องกันการผันผวนทางเศรษฐกิจ เป็นหลักประกันว่าอย่างน้อยยังมีข้าวกิน
“ดังนั้น เมื่อระบบเศรษฐกิจ ระบบเกษตรอยู่บนพื้นฐานของทุนนิยม การกลับไปสู่วิธีการผลิตแบบก่อนทุนนิยม แบบโรแมนติกตามที่ชนชั้นกลางในกรุงเทพคิด จึงสะท้อนแบบหมดเปลือกถึงความไม่รู้จักชาวนา ไม่รู้จักชนบท เพราะแม้ว่าระบบเกษตรอินทรีย์ การทำนาลดต้นทุนจะเป็นวิธีการที่ดี แต่ต้องยอมรับว่า ทางเลือกก็คือทางเลือก ไม่ใช่กระแสทางหลักและไม่สอดคล้องต่อการบริโภคและระบบเศรษฐกิจ”
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของรายได้ในชนบทว่า ในปี พ.ศ.2552 คนที่มีรายได้ตั้งแต่ 5,000 บาทต่อเดือน จัดว่าเป็นคนระดับล่างขึ้นไปหรือชนชั้นกลาง เนื่องจากเส้นความยากจนอยู่ที่ 1,400-1,500 บาทต่อคนต่อเดือน ดังนั้น ประชากรไทยจำนวน 70% ซึ่งมีรายได้ตั้งแต่ 5,000 บาทจึงไม่จนติดดินอีกต่อไป อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยก็โตขึ้นปีละประมาณ 7% ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น รายได้สูงขึ้นเร็วกว่ารายจ่าย ครัวเรือนส่วนใหญ่มีเงินออม และพึ่งการกู้ยืมนอกระบบไม่ถึง 8% สิ่งเหล่านี้แปรความได้ว่า คนไทยไม่จนแต่ไม่รวยและไม่ได้อยู่ในช่วงชั้นระดับล่าง ฉะนั้นคำถามคือ ทำไมคนเหล่านี้จะไม่มีความหวังที่จะไต่บันไดดารา
“ชนบทไทยลงทุนด้านการศึกษาของลูกหลานหนักมาก เพราะหวังจะเปลี่ยนฐานะของลูกหลาน ส่วนในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ การบริโภคไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า รถมอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือมีกันทุกบ้าน”
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีผลต่อการพัฒนาชนบทว่า จาก พ.ร.บ.กระจายอำนาจ พ.ศ. 2542 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ.2546 ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะอบต. อบจ. เทศบาล ผู้ใหญ่บ้านเป็นการเลือกตั้งโดยตรง ส่งผลให้หน่วยงานระดับท้องถิ่นได้รับความเชื่อถือเชื่อมั่นจากชาวบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ต้องการความหวัง การกระจายอำนาจทำให้เห็นว่า มีความเข้าใจต่อชาวบ้านมากกว่าส่วนภูมิภาค ขณะเดียวกันการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นยังสร้างความรู้สึกของความเป็นพลเมืองให้เกิดขึ้นอีกด้วย
ด้าน นายวิฑูรย์ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของภาคเกษตรในชนบท ภายใต้แนวโน้มวิกฤตอาหารและน้ำมันว่า จากการศึกษาตัวเลขบัญชีครัวเรือนในจังหวัดลำปางพบว่า การทำการเกษตรไม่ได้มีบทบาทลดลง อีกทั้งรายได้หลัก 40% ยังมาจากภาคการเกษตร แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้รายได้ของเกษตรกร ชุมชนน้อยลง เป็นผลจากระบบขูดรีดโดยบริษัทขนาดใหญ่
“หากวิเคราะห์ระบบการผลิตจะพบว่า ต้นทุน 1 ใน 3 หรือประมาณ 35 % เป็นค่าปุ๋ย ค่ายาและเมล็ดพันธุ์ ซึ่งในมิตินี้สะท้อนได้ว่าการทำเกษตรถูกขูดรีดมากขึ้น ดังนั้น การอธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงชนบท จึงต้องสะท้อนด้วยว่าใครเข้าไปทำอะไร หรือขูดรีดอย่างไร ในทางกลับกัน จะต้องมีการต่อสู้ ไม่ให้การเกษตรถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน”
ขณะที่ ศ.สุริชัย กล่าวถึงโจทย์การพัฒนาชนบทที่รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญว่า เป็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เชื่อมโยงกับทรัพยากร ที่ดิน และปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไปซ้ำเติมความทุกข์ยากของชาวบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการจองจำชาวบ้านตัวเล็กๆ ด้วยข้อหาคดีโลกร้อน ซึ่งทางราชการใช้กฎหมายตามสายงานของตนเป็นหลักปฏิบัติ โดยไม่ได้เอาความทุกข์ยากของชาวบ้าน หรือเหตุผลของชุมชนชนบทเป็นหลักฐาน ในทางกลับกัน หน่วยงานราชการกลับไม่ได้เข้าไปดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ที่สร้างภาวะโลกร้อน ดังนั้น เรื่องดังกล่าวน่าจะต้องมีความยุติธรรมในการดำเนินการต่อผู้ก่อปัญหาโลกร้อน
ศ.สุริชัย กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ต้องมองพื้นฐานที่แท้จริงของชาวบ้านในชนบทจากองค์กรท้องถิ่นที่ทำงานมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐบาลต้องวางตัวเป็นรัฐบาลของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ตึงเครียดลดลงได้ ทั้งนี้การวางนโยบายให้สง่างาม รัฐบาลจะต้องดูแลทั้งระบบและนโยบายการพัฒนา ไม่ใช่ดูแลเฉพาะเรื่องรายได้ โดยนโยบายชนบทจะต้องไม่เข้าลักษณะแยกกันทำงานตามนโยบายของกระทรวง ส่งเสริมให้คนมือยาวสาวได้สาวเอา หรือไปเพิ่มอำนาจให้กับกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น แต่จะต้องเน้นนโยบายเชิงบูรณาการ
“รัฐบาลจะต้องเปิดพื้นที่ให้ชุมชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคเอกชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างนโยบายใหม่ อีกทั้งรัฐบาลควรตระหนักถึงสถานการณ์ภายใต้การค้าเสรี การเปิดประตูสู่ประชาคมสู่อาเซียน โดยเฉพาะภาคการเกษตร รัฐบาลอาจต้องช่วยกันดูแล ปกป้อง หรือส่งเสริมให้มีความสามารถในการแข่งขัน แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ผลักภาระให้กับคนในท้องถิ่นมากเกินไป”
ส่วนแนวทางการพัฒนาที่เร่งรัดหรือทุ่มในเรื่องวัตถุอย่างรีบร้อนนั้น ศ.สุริชัย กล่าวว่า แม้จะจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ประชาชนชื่นชอบ แต่นโยบายของรัฐบาลควรรักษาสมดุลระหว่างมาตรการส่งเสริมด้านเม็ดเงิน กับมาตรการเชิงส่งเสริมความเข็มแข็งของชุมชน เพราะหากเน้นแต่เม็ดเงิน ดีไม่ดีความแตกแยกอาจเกิดมากขึ้น ฉะนั้นดุลยภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“การอาศัยประชานิยมหรือเม็ดเงินเป็นตัวนำ จะไปซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องรอคอยแต่นโยบายจากส่วนกลาง และท้ายที่สุด ส่งผลชุมชนไม่มีความความเข้มแข็ง ขาดขบวนการท้องถิ่นจัดการตนเอง”
