“เทพชัย” แนะสื่อเสนอข่าวเชิงลึก เป็นผู้นำความคิด หวังยกระดับคนไทยฉลาดขึ้น
เปิดมุมมองความคิด ทิศทางสื่อ “สุทธิพงษ์” ย้ำคนข่าวต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องปากท้อง “นิรมล” ชี้ความคิดไม่ใช่สูตรสำเร็จ นักข่าวต้องปะติดปะต่อให้ดีก่อนเสนอสังคม
วันที่ 17 กันยายน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดงาน จากทศวรรษ สู่อนาคต : 10 ปี 10 ความคิด ทิศทางสื่อ ณ ห้องบอลรูม 1 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถ.รัชดา โดยในช่วงแรกมี นายเทพชัย หย่อง ผอ.ไทยพีบีเอส นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กก.อำนวยการ บมจ.เนชั่นฯ นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ กก.ผู้จัดการ บ.ทีวีบูรพา จำกัด นางสาวนิรมล เมธีสุวกุล ผู้ผลิตและพิธีกรรายการโทรทัศน์ บ.ป่าใหญ่ครีเอชั่น จำกัด นายวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการบริหาร a day น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ว่าที่ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค (โทรคมนาคม) นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ว่าที่ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค (วิทยุโทรทัศน์) ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการและนักวิชาชีพด้านสื่อ นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนอิสระ ร่วมแสดงทัศนะ และปิดท้ายด้วยการแสดงดนตรีของสุรชัย จันทิมาธร นักคิด นักเขียน นักจัดรายการ นักดนตรีและศิลปินแห่งชาติ
นายเทพชัย กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญของสื่อสารมวลชนไทย ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากบทบาทของสังคมการเมืองที่ทำให้เกิดความท้าทาย และสับสนในวงการสื่อ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในระบบสังคมและภูมิภาคอย่างรวดเร็วมากจนคาดไม่ถึง
“ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตะวันออกกลาง เป็นบริบทหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการสื่อโลกอย่างมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นตัวเร่งให้อีก 10 ปีข้างหน้าเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงได้อีก สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอาจจะส่งผลเป็นแรงกดดัน และเป็นสิ่งท้าทายว่าองค์กรสื่ออาจต้องกลับไปออกแถลงการณ์รายวันอย่างที่เคยเป็นมา เพียงแต่มีตัวละครใหม่ๆ เพิ่มขึ้น”
นายเทพชัย กล่าวต่อว่า ปัญหาความวุ่นวาย แตกแยกและเกียจชังที่ผ่านมา ต้องยอมรับก่อนว่า สื่อก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัญหาเหล่านั้นบานปลาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม แต่หากจะมองอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างมีความหวัง “สื่อ” ต้องทำหน้าที่อย่างที่สังคมคาดหวัง จัดการและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอภาคการเมือง
“สื่อต้องถอยหลังไปสัก 2-3 ก้าว เพื่อมองดูตัวเองว่าจะพอใจการทำงานอย่างที่เป็นอยู่ หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยิ่งในปัจจุบันสื่อใหม่ ทั้ง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ฯลฯ สามารถรายงานข่าวได้อย่างสื่อหลัก แต่สะดวก รวดเร็วกว่ามาก สื่อจึงควรปรับการทำงานภายใต้ฐานความคิดที่ว่า “ทำอย่างไรให้คนทำสื่อมีบทบาทมากขึ้น” เป็นคนที่ให้บทวิเคราะห์ที่มีความลึก อธิบายความ ให้ความรู้ ยกระดับความเข้าใจและเป็นผู้นำทางด้านความคิด ที่ไม่ใช่คนชี้นำ โดยที่ คนทำสื่อต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้งก่อน ความท้าทายจึงอยู่ที่ เราพร้อมจะลงทุนและให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน”
นายเทพชัย กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีก 4 ปีข้างหน้า ด้วยว่าประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก มีประชากรที่ไม่ใช่แค่คนไทยเพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้ คนไทยมีความรู้ความเข้าใจ และเตรียมรับมือมากน้อยแค่ไหน สื่อต้องพิจารณาตนเองว่าทำอะไร และนำเสนออะไรให้คนไทยฉลาดขึ้น หรือเข้าใจความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคมไทยและสังคมโลกบ้าง
“ยิ่งโลกมีความเปลี่ยนแปลง สื่อก็ควรจะสร้างให้ประชาชนและสังคมรู้ เช่น ในเรื่องเดียวกัน ปัญหาเดียวกันที่กำลังประสบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงในชายแดนใต้ หรือการจัดการข้าว ประเทศอื่นๆ ที่เคยประสบปัญหาเหล่านี้มาก่อน มีการจัดการและแก้ไขกันอย่างไร หากสื่อสามารถปรับตัวได้ดังที่กล่าวมา ก็จะยังมีที่อยู่ได้ต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า”
ขณะที่นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงสภาพการณ์ของสื่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่า มีการเกิดขึ้นของฟรีทีวีจำนวนมาก ทำให้ผู้บริโภคสามารถกำหนดช่องทางการรับข่าวสารได้ด้วยตนเอง ขณะที่การรุกคืบของโซเชียลมีเดียและนิวมีเดียก็ทำให้ผู้ใช้สามารถเป็นได้ทั้งผู้รับสารและผู้ส่งสารได้ในคราวเดียวกัน สื่อจึงต้องปรับตัว ปรับวิธีคิดทั้งในระดับผู้บริหารและตัวนักข่าว เพื่อให้องค์กรอยู่รอด โดยจะต้องรู้จักกลัวตาย กลัวไม่มีอนาคต ขณะเดียวกันต้องปรับวิธีการนำเสนอข่าวให้มีความครบวงจรรอบด้าน เป็นห้องข่าวดิจิทัลที่รวมศูนย์ ประการสำคัญต้องสามารถนำเสนอผ่านสื่อได้หลากหลายประเภทอีกด้วย
ด้านนายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า การสู้รบในสนามสื่อมวลชนนั้น นอกจากเรื่องความอยู่รอดของสื่อเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ “ความรับผิดชอบ” เพราะต่อให้ตนเองอยู่รอด แต่หากสังคมอยู่ไม่ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ฉะนั้น คำถามคือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดแบบใดถึงจะดี และหลงเหลือความนับถือตนเองอยู่บ้าง ภายใต้เงื่อนของทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
“โจทย์สำคัญที่คนทำงานสื่อต้องครุ่นคิดว่าจะวางตัวอย่างไร เมื่อสื่อมีอิทธิพลต่ออัตลักษณ์ของคนในประเทศ ทั้งนี้ สื่อต้องไม่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับลูกของเอเจนซี่โฆษณา ไม่กระโจนไปกับกิเลสโลภทั้งหลายที่เข้ามาชักจูง เพราะไม่เช่นนั้นจะแยกไม่ออกระหว่างสื่อกับการตลาด” สุทธิพงษ์ กล่าว และว่า สื่อต้องมีสำนึกใหม่ร่วมกันในการลดกิเลสโลภ เสียสละ แบ่งปันบางส่วน เพื่อให้เกิดดุลยภาพ โดยต้องปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากกิเลส หลุดพ้นจากการติดสินบนใต้โต๊ะ มีความเที่ยงธรรม รวมทั้งพัฒนาความสามารถของตนเอง
ส่วนดร.สมเกียรติ กล่าวว่า แม้ในปัจจุบันสื่อกระแสหลักจะด้อยความน่าเชื่อ แต่สื่อกระแสหลักก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่ เพียงแต่จะต้องยึดมั่นในข้อเท็จจริง มีวินัยในการตรวจสอบ พร้อมที่จะทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังทรัพย์เพื่อค้นหาความจริง โดยยึดความจงรักภักดีต่อสาธารณชนเป็นหลัก รวมทั้งต้องปรับตัวให้ทันและเข้าถึงสื่อใหม่
สำหรับนางสาวนิรมล กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในฐานะที่คลุกคลีกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนานว่า คนที่เป็นสื่อมวลชนไม่ควรนำความคิด ซึ่งมีลักษณะเป็น “สูตรสำเร็จ” ของคนใดคนหนึ่งมาเชื่อมโยงเป็นความคิดของตนเองและนำมาผลิตซ้ำ แต่สื่อต้องมีความรู้ความเข้าใจ สามารถเชื่อมโยงได้ว่าเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร เนื่องจากทิศทางของโลกในอนาคตกำลังผันผวนทั้งด้านคน สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากสื่อไม่รู้ต้นทาง ความเป็นมาของสิ่งต่างๆ รวมถึงยังไม่มีความตระหนักก็จะตามไม่ทัน
ด้านนางสาวสุภิญญา กล่าวว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความคิดแตกต่างกันมาก เรามีทั้งความคิดที่อนุรักษ์นิยมสุดขั้วและเสรีนิยมแบบเต็มที่ การใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่สามารถจัดการความคิดที่แตกต่างได้ เพราะฉะนั้น คงต้องหากติกาในการกำกับดูแลร่วมกันระหว่างสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบ
“กสทช. จะเข้ามามีบทบาทในฐานะคนกลาง ที่จะดึงทุกฝ่ายเข้ามาระดมสมองกันว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ ซึ่งหากไม่สามารถหาข้อยุติได้ อาจจะใช้ดุลพินิจขององค์กรที่มีหน้าที่กำกับดูแลเข้ามาตัดสินสิน แต่ทั้งนี้การใช้ดุลพินิจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปอย่างสมดุล คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย เปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นต่างสามารถคัดค้านได้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจไปจบลงที่การพิจารณาศาล อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะต้องทำให้ครอบคลุมสื่อสารมวลชนทุกแขนง”
สำหรับน.พ.ประวิทย์ กล่าวว่า สื่อจะต้องมีการรวมตัวกันในลักษณะขององค์กรวิชาชีพสื่อ โดยอาจจะต้องมีสภาพบังคับในเชิงกฎหมายที่กำหนดให้ทุกองค์กรสื่อเข้ามาเป็นสมาชิก เช่นเดียวกับแพทยสภา เพราะไม่เช่นนั้น การควบคุมกันเองของสื่อก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ หากสมาชิกบางรายถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพสื่อ เมื่อเกิดการตรวจสอบ
ขณะที่คนทำสื่อในยุคต่อไปนั้น นายวงศ์ทนง กล่าวว่า ควรมีหน้าที่ 5 ด้านด้วยกันคือ 1.ให้การศึกษา ความรู้ความคิดที่ถูกต้องแก่ประชาชน เนื่องจากเกิดความไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นข่าวข่มขืนถูกประโคม กระทั่งก่อให้เกิดความรู้สึกโกรธแค้น หรือกรณีที่สื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ซึ่งไม่มีตรรกะ เหตุผลรองรับ 2.คุณสมบัติของคนทำสื่อต้องมีความรู้มากพอ สำหรับเป็นต้นทุนในการสื่อสาร
“3.ต้องมีความทันสมัย ยิ่งในยุคที่รูปแบบมีเดียเปลี่ยนผ่าน เคลื่อนย้ายไปมาก 4.สื่อควรมีความเป็นกลาง เพราะเมื่อใดที่เลือกข้างแล้วก็ยากที่จะกลับมาสู่ความเป็นกลาง ความเท่าเทียมได้อีก แต่ทั้งนี้ความเป็นกลางดังกล่าวนั้น ไม่ได้หมายความว่า เห็นด้วยกับความชั่วความเลวเท่าๆ กัน แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆ มีพื้นที่พูดจาอย่างเท่าเทียม และ 5.ความมีอุดมการณ์ สื่อต้องมุ่งมั่นอยู่กับความถูกต้อง ข้อเท็จจริง ไม่เป็นตัวจุดชนวนของความขัดแย้ง”
นางสาวสฤณี กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนทั่วไปสามารถเป็นสื่อมวลชนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับคนทำสื่อ แต่ในการทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้กับประชาชน และแสดงให้สังคมรับรู้ถึงสภาพปัญหา เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ การคอร์รัปชั่น บทบาทของทหารก็ยังมีไม่มากนัก ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นในโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯ ซึ่งมีความลึกซึ้ง สลับซ้อนและอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยนั้นก็เกิดคำถามว่า สื่อทำหน้าที่เพียงพอหรือไม่
“สิ่งที่ควรถกเถียงกันคือองค์กรสื่อจะวางจุดยืนอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าแต่ละองค์กรสื่อก็คงมีคำตอบที่ต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญคงต้องย้อนกลับไปที่ความน่าเชื่อ ความเป็นมืออาชีพ การทำงานบนหลักวิชาชีพ ไม่ใช่เบี่ยงเบนจากความเป็นสื่อ”