หอการค้าไทย ชี้ แผนฟื้นฟูน้ำท่วมต้องทำได้จริง-เร็ว เน้นการมีส่วนร่วม

ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ผุด ยุทธศาสตร์ 3 ป. ‘ปราบปราม-ปลูกฝัง-ป้องกัน’ จี้หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ เลิกติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ เล็ง ยึดวัน ‘ดุสิต’ เสียชีวิต 6 ก.ย. เป็นวันปราบปรามคอร์รัปชั่น
วันที่ 10 ธันวาคม หอการค้าไทย จัดการประชุมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 29 ณ โรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง โดยนายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเปิดการสัมมนาตอนหนึ่ง ถึงภาวะวิกฤติน้ำท่วมหลายจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพฯ ด้วย ว่า เป็นครั้งที่ร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์ของชาติที่หนักหนา รุนแรง ที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อสังคม และการพัฒนาประเทศในหลาย ๆ ด้าน
“เมื่อครั้งเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 เรามีปัญหาที่ภาคการเงิน หรือ Financial Sector ขณะที่ภาคการผลิตยังคงดีอยู่ ส่วนใหญ่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมจะมีปัญหาการเงิน แต่เครื่องจักร คน ยังอยู่กันดี เมื่อมีการเจรจาต่อรอง ประนอมหนี้ อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาที่ค่อนข้างเร็ว แต่มหาอุทกภัยครั้งนี้ผลที่กำลังจะตามมา จะต่างจากปี 2540 อย่างสิ้นเชิง ภาคการผลิตของไทย ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่รอบๆ กรุงเทพเสียหายอย่างยับเยินห่วงโซ่การผลิตถูกทำลาย โรงงานหลายร้อยแห่งแม้ไม่ถูกน้ำท่วม และอยู่ห่างไกลออกไป เช่น ชลบุรี ระยอง ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย จากการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตนำมาผลิตต่อ หรือไม่ก็ลูกค้าถูกน้ำท่วม จึงต้องหยุดการผลิตตามไปด้วย”
ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวอีกว่า 70% ของ GDP ไทย มาจากการส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการผลิตรอบๆ กรุงเทพฯ ดังนั้นความเสียหายจากวิกฤติครั้งนี้ ที่ประเมินกันว่าเป็นหลักแสนล้านบาท ก็เป็นเพียงปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่มาให้เห็นเท่านั้น ความเสียหายและผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง จะเริ่มปรากฏให้เห็นหลังน้ำลดแล้วอีกมากมายมหาศาล
“ ภัยพิบัติครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นคงไม่รุนแรงดังที่เป็นอยู่ หากบ้านเมืองเราไม่มีการทุจริตและคอร์รัปชันที่หนักหนา ฝังรากลึกอย่างน่าตกใจขนาดนี้ ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพฯฝั่งตะวันออก ได้ถูกเวนคืนเป็นของหลวงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อใช้เป็นทางน้ำผ่านไหลลงสู่ทะเลนับหมื่นไร่ แต่ปัจจุบันถูกนำไปใช้เป็นบ้านจัดสรร โรงงาน ที่ดินของหลวงถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับภาคเอกชน จนแทบไม่เหลือพื้นที่ที่ควรจะใช้เป็น floodway ดังนั้น ภาระกิจหลักของเราที่สำคัญสูงสุด คือ การสานต่อเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่น”
3 ป. ปราบปราม ปลูกฝัง และป้องกัน
จากนั้น ช่วงบ่ายมีการประชุมกลุ่มย่อย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ต่อต้านคอร์รัปชั่น สร้างสรรค์ประเทศไทย 2.ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหลังวิกฤตน้ำท่วม และ 3.การลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจและสังคมสู่ความยั่งยืน
ภายหลังการประชุม นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น นายอิสระ ว่องกุศลกิจ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายวิชัย อัศรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย เป็นตัวแทนกลุ่มย่อยในการแถลงข่าวผลการประชุม
นายวิชัย กล่าวถึงผลการสัมมนาต่อต้านคอร์รัปชั่นฯ ว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้สึกร่วมกันว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นนั้น ทวีความรุนแรงขึ้นและต้องการที่จะเห็นการจัดการแบบรูปธรรม โดยทางภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภตค.)ได้เกิดแนวคิด บทบาทของภาคี 3 ป. ได้แก่ ปราบปราม ปลูกฝัง และป้องกัน
“ในส่วนของการปราบปราม ภาคเอกชนไม่มีอำนาจในทางกฎหมายจึงต้องส่งมอบให้แก่ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการต่อ แต่ในส่วนของภาคเอกชนนั้น สิ่งที่ช่วยได้คือเรื่องการปลูกฝังและป้องกัน ซึ่งในส่วนของการปลูกฝังนั้น ทางกลุ่มสัมมนาเห็นด้วยกับโครงการที่ได้ลงมือทำไปแล้ว และเสนอให้หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศแสดงเจตจำนงในการต่อต้านคอร์รัปชั่น และปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่าง ไม่จ่ายเงินเพิ่มเติมพิเศษแก่เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อปลูกฝังค่านิยมใหม่ให้สังคมไทย
นายวิชัย กล่าวถึงแนวคิดที่จะจัดตั้งโครงการ “Young Dusit ” เพื่อสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ที่กล้าทำประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งก็หวังว่าจะมี ‘ดุสิต’ เกิดขึ้นเป็นร้อยเป็นพันคน นอกจากนี้ยังจะยึดวันที่ 6 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่นายดุสิตเสียชีวิต เป็นวันปราบปรามคอร์รัปชั่นอีกด้วย
ขณะที่ด้านการป้องกันนั้น กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า อยากเห็นการป้องกันปราบปรามคอร์รัปชั่นที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งก็เริ่มมีสัญญาณที่ดี เนื่องจากปัจจุบันได้มีกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง ที่มีข้อบังคับให้หน่วยงานต้องเปิดเผยข้อมูลแผนงบประมาณ ขอบเขตของงาน (TOR) รวมถึงราคากลางจัดซื้อจัดจ้างเผยแพร่ในเว็บไซต์ให้สาธารณชนได้ตรวจสอบ แต่ทั้งนี้เครือข่ายภาคีก็จะทำหน้าที่เป็น Watch dog ในการจับตาเรื่องการคอร์รัปชั่นต่อไป
ผุดอาสาสมัครตาสับปะรด
ด้านนายประมนต์ กล่าวถึงโครงการต่อต้านคอร์รัปชั่นเพิ่มเติมว่า จะมีการรณรงค์จัดตั้งอาสาสมัคร “โครงการอาสาสมัครตาสับปะรด” เพื่อเข้าร่วมเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยจะมีการจัดอบรมอาสาสมัครให้มีความรู้เกี่ยวกับตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รู้ว่าเรื่องใดควรทำหรือไม่ควรทำ และรู้ถึงกระบวนการในการเฝ้าระวังต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูล แหล่งเบาะแสในการทำงานต้านคอร์รัปชั่นต่อไป
นายอิสระ กล่าวถึงผลการสัมมนาเรื่องลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจและสังคมว่า ที่ผ่านมาหอการค้าได้นำเสนอโครงการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เช่น โครงการ 1 ไร่ 1 แสน และโครงการ 1 ชุมชน 1 บริษัท ซึ่งโครงการดังกล่าวก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะความร่วมมือของชุมชน เกษตรกร รวมถึงนักวิชาการ ส่วนในพื้นที่ด้อยโอกาส โครงการฯ ยังเข้าไปไม่ถึง ในปีหน้าก็จะมีการขยายโครงการต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการส่งเสริมความรู้ความรู้ทั้งเรื่องบัญชีครัวเรือน การออม การลงทุน ความรู้ทางด้านการตลาด รวมไปถึงการปลูกฝังจิตสำนึก คุณธรรมให้กับเกษตรกร ชุมชนอีกด้วย
ขณะที่นายสมเกียรติ กล่าวถึงผลสรุปการสัมมนาเรื่องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ หลังน้ำท่วมว่า ที่ประชุมมีการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำ โดยมีข้อเสนอ อาทิ การสร้างทางน้ำ ขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขิน การวางผังเมืองใหม่ พิจารณาเรื่องการระบายน้ำออกจากเขื่อน การรายงานข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องชัดเจน มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกันแผนการฟื้นฟูเยียวยาต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้จริงและรวดเร็ว เน้นการมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน และภาคประชาสังคม นอกจากนี้จะต้องมีการติดตามประเมินผลโครงการฟื้นฟู เยียวยาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
