นายกฯ ตรวจเขื่อนสิริกิติ์ มั่นใจพร่องน้ำได้ตามแผน- 3 เดือนเห็นเป็นรูปธรรม

นายกฯ มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปลูกป่าต้นน้ำ ปรับระบบพยากรณ์และเตือนภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพ ยันไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน
วันที่ 13 ก.พ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการพระราชดำริและการดูแลป่าต้นน้ำ รวมถึงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า ได้หารือใน 3 แนวทาง คือ การปลูกป่าต้นน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละส่วน วางแผนปลูกป่าให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ การให้ข้อมูลเตือนภัยกับประชาชน ซึ่งจะมีการประมวลข้อมูลตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงส่วนกลาง ซึ่งได้ข้อมูลที่แม่นยำ และสามารถเตือนประชาชนได้ทันท่วงที การบริหารจัดการน้ำภายในเขื่อนต้องสอดคล้องกับปริมาณน้ำทุ่งท้ายเขื่อน เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน
“ในปี 2555 ที่จะมีการพร่องน้ำจากร้อยละ 60 ให้เหลือร้อยละ 45 อาจส่งผลกระทบในช่วงหน้าแล้งบ้าง แต่รัฐบาลมั่นใจว่าจะสามารถดูแลได้ ทั้งนี้ตัวเลขการจัดเก็บน้ำจะไม่ตายตัว โดยจะประเมินตามสถานการณ์ และการดำเนินการทั้งหมดจะต้องเริ่มเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือน นอกจากนี้ยังได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำการแจ้งเตือนให้กับประชาชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับน้ำให้เร็วกว่าที่เป็นอยู่”
ส่วนนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงภารกิจดูแลพื้นที่ต้นน้ำ โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีต้องมีพื้นที่ป่าเพิ่มอีก 6.59 ล้านไร่ อีกทั้งจะได้เร่งทำโครงการฝายต้นน้ำเพื่อกันลำห้วย ลำธารขนาดเล็ก บริเวณต้นน้ำให้ไหลช้าลงและกักตะกอนไม้ให้ไหลลงไปทับถมลำน้ำตอนล่าง โดยฝายต้นน้ำจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดินและต้นไม้ ให้เติบโตได้ตามระบบนิเวศ โดยแบ่งตามสภาพพื้นที่ 3 แบบ ประกอบด้วย ฝายต้นน้ำแบบผสมผสาน ฝายต้นน้ำแบบกึ่งถาวร และฝายต้นน้ำแบบถาวร ซึ่งจะดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ 8 ลุ่มน้ำหลัก คือ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา สะแกกรัง ป่าสัก และท่าจีน
“ในระยะสั้นจะเร่งให้เสร็จจำนวน 920 แห่ง ส่วนระยะยาว หรือภายใน 5 ปี จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จจำนวน 4,600 แห่ง”
ขณะที่นายโยธินศร์ สมุทรคีรีจ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวถึงแผนบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า จะต้องดูว่ามีโครงการที่สอดคล้องกับแผนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ กยน.หรือไม่ เช่น การฟื้นฟูสภาพป่าและอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจะดำเนินการป้องกันขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ยังต้องดำเนินการขุดลอกคูคลองต่างๆ ที่อยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ และจะดำเนินการชะลอน้ำ เพื่อให้น้ำสาขาไหลลงสู่แม่น้ำน่านช้าลง รวมทั้งจัดหาพื้นที่แก้มลิงเพื่อรองรับน้ำ
ด้านนายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร กล่าวถึงการใช้พื้นที่บึงสีไฟเพื่อใช้ในการรองรับและกักเก็บน้ำป้องกันน้ำท่วมและชะลอการไหลของน้ำลงสู่พื้นที่ด้านล่าง ว่า จังหวัดพิจิตร จะมีพื้นที่รับน้ำ 7 อำเภอ ในส่วนของบึงสีไฟจะทำการขุดลอก เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำจำนวน 622 ไร่ ใช้งบประมาณ 238 ล้านบาท และยังมีบึงขนาดใหญ่อีก 37 แห่งที่จะขุดลอกเพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำโดยจะของบประมาณอีก 900 ล้านบาท รวมงบประมาณที่คาดว่าจะต้องใช้ในครั้งนี้ทั้งสิ้น ประมาณ 1,100 ล้านบาท
