“ธีรยุทธ” แนะทำความเข้าใจ “เสื้อแดง” จุดเริ่มต้นเกิดสมานฉันท์

"ธีรยุทธ" ชี้การปรองดองแบบนิรโทษกรรม เกิดการคัดค้านแน่ มองกลุ่มเสื้อแดงยังได้เปรียบ เผยทักษิณควรกลับมารับโทษ ย้ำเพื่อรักษาระบบยุติธรรมที่มีมานาน สำคัญกว่าตัวบุคคล
วันที่ 18 มีนาคม นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย จัดแถลงข่าวการวิเคราะห์การเมืองไทย ซึ่งกำลังมีความขัดแย้งรุนแรง ณ ห้องวรรณไวทยากรณ์ ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
นายธีรยุทธ กล่าวถึงสาเหตุสำคัญที่ต้องออกมาวิเคราะห์พูดช้า เนื่องจากไม่สบาย มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ และต้องเข้าโรงพยาบาล ประมาณ 5-6 เดือน จากนั้นเริ่มต้นกล่าวถึง ยุคของการเมืองปัจจุบัน ที่เป็นยุคของพ.ต.ท.ทักษิณว่า ในขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณอยู่นอกประเทศ แต่เกือบ 15 ปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชนะการเลือกตั้งทั่วไปมาโดยตลอด และเมื่อได้เสียงข้างมากติดต่อกัน ก็สามารถขยายฐานรากหญ้า คนเสื้อแดงระดมพลไปเลือกตั้งและชุมนุมประท้วงได้อย่างกว้างขวาง
"ตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา นักการเมืองที่มีบารมีทางการเมืองมากที่สุดในการเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยมี 3 คน 2 คนเป็นทหาร และอีก 1 คนเป็นพลเรือน ซึ่งได้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตามจะช่วยให้การเมืองไทยดีขึ้น หรือประเทศล่มจมเสียหายถึงขั้นล่มจม ก็ยังเป็นสิ่งต้องพิสูจน์กันอีกพอสมควร" นายธีรยุทธ กล่าว และว่า โดยส่วนตัวตนอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเมืองไทย
"พ.ต.ท.ทักษิณ เคยท้าพนันกับผมผ่านทางสื่อว่า แกจะหลุดจากอำนาจก่อน หรือเสื้อกั๊กของผมจะขาดก่อน ปรากฏว่าตอนนี้แกก็ออกจากประเทศไปเกือบ 6 ปีแล้ว แต่เสื้อกั๊กผมก็ขาดแล้วนะ มีอยู่ 2 รู แต่เหตุที่ผมอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา เพราะอยากให้มารับโทษ และหาทางสู้คดี"
นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า เท่าที่ฟังคำตัดสินของศาล ตนเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ผิดในเรื่องซุกหุ้น และเลี่ยงภาษี ฉะนั้น ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผิด ก็อาจต้องขอรับส่วนหนึ่งคืนเมื่อรับโทษ ซึ่งคนส่วนใหญ่คงเห็นอกเห็นใจ อยากให้มีการนิรโทษกรรม ซึ่งก็มีความเป็นไปได้
"ผมจะช่วยหากว่าพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมายอมรับโทษ ซึ่งทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ก็เพื่อเป็นการรักษาระบบยุติธรรมของบ้านเราที่อยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ดังนั้น ระบบยุติธรรม จึงสำคัญกว่าบุคคล"
นายธีรยุทธ กล่าวถึงการเมืองรากหญ้า และประชานิยมต่อว่า เป็นการเปิดฉากใหม่ของการเมือง ที่ตนเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญ และวิกฤติการเมืองไทยที่รุนแรงขึ้นนั้น เกิดจากการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ที่รุนแรงที่สุด คือ การไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของอีกฝ่าย มองว่าอีกฝั่งไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของจริง
"เสื้อแดงก็ไม่ยอมรับเสื้อเหลือง โดยมองว่าไม่มีเหตุผล ไม่มีความคิด คลั่งชาติ คลั่งเจ้า ส่วนเสื้อเหลืองก็มองว่าเสื้อแดงไม่มีตัวตน ไม่มีความสำคัญ ไร้การศึกษา จึงถูกหลอกมา แต่เมื่อผมไปพบปะกับคนกลุ่มนี้ พบว่า ประเด็นใหญ่ คือ การถูกดูถูกเหยียดหยาม ซ้ำเติม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มเสื้อแดงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น" นายธีรยุทธ กล่าว และว่า ตนอยากให้มีการยอมรับการดำรงอยู่นี้ และทำความเข้าใจพวกเสื้อแดง เปิดมุมมองใหม่ว่าทำไมเสื้อแดงถึงขยายตัว และเป็นพลังสำคัญในการตัดสินการเลือกตั้ง อันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะเกิดการพูดคุยสู่แนวทางสมานฉันท์ เพราะการจะทำให้เกิดการสมาฉันท์จะพูดเฉยๆ ไม่ได้ ต้องทำให้เกิดการยอมรับและเข้าใจกันก่อน เพื่อหาหนทางที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
นายธีรยุทธ กล่าวถึงรากเหง้าของวิกฤติในขณะนี้ว่า ต้องมองให้ลึกกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพราะประเด็นปัญหาที่แท้จริง เกิดจากประเทศเรา "รวมศูนย์มากเกินไป" ท้ายที่สุดศูนย์กลางก็เอาไม่อยู่
"ประเทศรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ รัฐเป็นทั้งเจ้าของ และผู้ใช้ทรัพยากร เชิดชูส่วนกลางและกดเหยียดของเดิม จึงเกิดความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน ชาวบ้านเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างฝั่งลึก และเมื่อชาวบ้านเห็นว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมมาตลอดชีวิต รวมกับเมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน ชาวบ้านเหมือนถูกซ้ำเติม มองว่าศูนย์กลางใช้ 2 มาตรฐาน ทำให้การไม่ยอมรับในอำนาจศูนย์กลางขยายตัวมากขึ้น"
นายธีรยุทธ สรุปแนวโน้มประเด็นดังกล่าวว่า ต่อจากนี้ฝ่ายเสื้อแดง หรือรากหญ้าอยู่ในสถานะได้เปรียบฝ่ายอนุรักษ์ ที่มีความคิดและวิสัยทัศน์ตีบตัน เนื่องจากฝ่ายเสื้อแดงสามารถคิดอะไรต่อไปได้อีกมาก เพราะมีงบประมาณ และทรัพยากรรองรับ ในสุดศูนย์กลางคงจะเหลือศูนย์เดียว
"เท่าที่ดู ยุทธศาสตร์ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ-เพื่อไทย คงมี 3 ขา คือ 1.ขยายฐานรากหญ้า 2.สลายอำนาจฝ่ายตรวจสอบตั้งแต่องค์กรอิสระหรือศาลยุติธรรม 3.ต้องดึงกำลังความมั่นคง คือ กองทัพเป็นพวก ซึ่งจะทำได้ขนาดไหน หรือเกิดความรุนแรงตามมาก็น่าเป็นห่วง ส่วนฝ่ายอนุรักษ์รัฐ เกือบไม่มีทางออก การขยายฐานรากหญ้าเกือบไม่มีหนทาง เพราะยังไม่มีวาทกรรมใหม่ๆ นอกจาก "สมถะ" "พอเพียง" หรือ "เป็นคนดี" ทำให้มวลชนดูไม่มีความหวัง นักคิดของฝ่ายอนุรักษ์พูดแต่สิ่งที่เป็นนามธรรมตลอด ทั้งที่ คนจนเน้นรูปธรรม เน้นวัตถุ จึงไม่เห็นหนทางที่ฝ่ายอนุรักษ์จะขยายตัว มีแต่จะหดตัวลงไปเรื่อยๆ หากไม่มีการปรับความคิดใหม่"
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า ไม่มีทางออกระยะใกล้ มีแต่สิ่งที่ต้องทำ เพี่อเป็นทางออกในระยะยาว เพราะความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ลงลึกไปทั้งโครงสร้าง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี อัตลักษณ์ ตัวตนและความรู้สึก อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองจะผ่านความรุนแรงไปได้ หากพ.ต.ท.ทักษิณ และเพื่อไทย ไม่สร้างแรงกดดันให้มีการเผชิญหน้าของมวลชน และใช้เวลาดังกล่าวแก้ไขความไม่ถูกต้อง ซึ่งมีมาช้านานให้ดีขึ้น แต่ก็ควรมุ่งไปในเชิงโครงสร้างและค่านิยมมากกว่า
"ที่สำคัญ ต้องมีการปรับกระบวนทัศน์หรือแม่บทความคิดใหม่ว่า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร ทั้งด้านการเมือง การปกครอง การปฏิรูปปรับปรุงสถาบัน องค์กรสำคัญๆ ทั้งหมด"
ทั้งนี้ เมื่อความขัดแย้งได้ลุกลามไปถึงการวิพากษืวิจารณ์สถาบัน และพระมหากษัตริย์ นายธีรยุทธ เห็นว่า นักวิชาการ รวมทั้งนักคิดที่ใกล้ชิดราชสำนัก เช่น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล นพ.ประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุน ควรจะสร้างการศึกษาค้นคว้า และสร้างความรู้ที่ถูกต้องว่า สถาบันกษัตริย์ควรจะดำรงอยู่ในระบบเสรีประชาธิปไตยและโลกาภิวัฒน์อย่างไร
"อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เห็นด้วยกับนักวิชาการอนุรักษ์สุดขั้วบางส่วน ที่พยายามจะหวนกลับมายกย่องให้พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ มีพระราชอำนาจทางการเมืองมากขึ้นซึ่งจะเป็นการย้อนยุค สถาบันพระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ในสังคมเสรีประชาธิปไตยและโลกยุคข่าวารได้ยั่งยืน ต้องเป็นสถาบันที่มีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอย่างแท้จริง"
นายธีรยุทธ กล่าวทิ้งท้ายว่า โดยส่วนตนไม่เชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะสร้างประชาธิปไตยรากหญ้าจริงๆ เนื่องจากไม่ได้เห็นประเด็นที่เป็นโครงสร้างยั่งยืน นอกจากอ้อนวอนของกลับเมืองไทย
"พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้นำการตลาดมากกว่านักประชาธิปไตย และมุ่งหวังให้รากหญ้าซื้อสินค้าเป็นประจำ มากกว่าการสร้างรากหญ้าให้ฐานที่มั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเมืองไทย นั่นหมายถึงว่า การที่ประเทศเราแตกแยก ด่าทอกันเองและใช้ความรุนแรงต่อกัน เพียงเพื่อแก้ปัญหาการซุกหุ้น หนีภาษี และความไม่รู้จักอิ่มในทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย นายธีรยุทธ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการปรองดองในระยะสั้นว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก ถ้าเป็นการปรองดองแบบที่เขียนในบทเฉพาะกาลให้มีการนิรโทษกรรมโดยให้มีการลงประชามตินั้น จะก่อให้เกิดการคัดค้าน และเป็นการคัดค้านที่มีพลัง ด้วยเพราะส่งผลกระทบใน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ1.ระบบยุติธรรม เพราะหลายคดีกระบวนการผ่านสู่ศาลแล้ว ดังนั้น จะเป็นการล้มล้างสิ่งที่ศาลตัดสิน เป็นปัญหาอย่างมาก 2.เครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์ คือ รัฐประหาร จะหายไป เพราะต่อจากนี้การรัฐประหารจะเป็นโมฆะ นำมาใช้ไม่ได้ ซึ่งตนเห็นว่า กลุ่มอนุรักษ์จะไม่ยินยอมแน่
นายธีรยุทธ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการทำงานของรัฐบาลปัจจุบันด้วยว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกเดินทางเยี่ยมชาวบ้านในต่างจังหวัดบ่อยๆ จะทำให้ได้คะแนนนิยมเพื่มขึ้น และจะเป็นนายกฯ ที่ชาวบ้านรักมากคนหนึ่ง ด้วยเพราะเป็นคนที่แต่งตัวสวย และถ่ายรูปขึ้น เรียกได้ว่าเป็น "ยิ่งลักษณ์โฟโต้จีนิก"
"ผมขอเป็นหมอดูทำนายว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะติดอันดับ 1 ในผู้นำที่แต่งตัวสวยที่สุดในโลก ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมเคยคิดจะตั้งฉายาไว้ในสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีว่า "มารค์เมาอู้" ที่พูดจนเมา ผมจึงอยากแนะให้เปลี่ยนแนวจากพูดมาเป็นเขียนบทความเจาะประเด็นลึกๆ มากกว่า"
การวิเคราะห์การเมืองไทย แนวโน้มของวิกฤติปัจจุบัน
