การเมืองย่ำยีส่วนดีการศึกษา “ดร.สมพงษ์” ยุปชช.บังคับรัฐ ออกพ.ร.บ.คุมคุณภาพ

สถาบันรามจิตติ เผยกระแสโลกส่งสัญญาณเตือนอนาคตขาดแคลนทรัพยากร แนะต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพด้านนักวิชาการเศรษฐศาสตร์การศึกษาชี้ระบบการศึกษาไทยเป็นอมโรค เปรียบครูไร้ประสิทธิภาพเป็นไขมันส่วนเกิน
วันที่ 19 มีนาคม สถาบันรามจิตติ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัด โครงการจับกระแสความเคลื่อนไหวและนวัตกรรมในการจัดการศึกษา และพัฒนาเด็กและเยาวชน (INTREND) การเสวนาครั้งที่ 3 เรื่อง “วิกฤตการณ์การจัดการศึกษาของรัฐ : สัญญาณเตือนจากกระแสโลก” ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
โดย ดร.จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ หัวหน้าโครงการ INTREND นำเสนอภาพรวมความเคลื่อนและวิกฤตการณ์การจัดการศึกษาของรัฐ : สัญญาณเตือนจากกระแสโลก ว่า ในรอบปีที่ผ่านมามีกระแสความเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับนโยบายปฏิรูปการศึกษาของรัฐมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายตัดลดงบประมาณ การเพิ่มค่าเล่าเรียน ความอ่อนด้อยของคุณภาพการศึกษาของรัฐ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของรัฐ ไปจนถึงความพยายามแปรรูปการศึกษาไปสู่ธุรกิจการศึกษาเพื่อการแข่งขันในนานาประเทศ รวมไปถึงปัญหาคอร์รัปชั่นด้วย ซึ่งในบางประเทศนั้นมีผลมาจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ
“ปัญหาร่วมในการจัดการศึกษาของรัฐจากหลายประเทศ คือ 1.ปัญหาเรื่องการจัดการงบประมาณการศึกษาของรัฐทั่วโลกมีทิศทาง “ประหยัดรัดกุม” รวมทั้ง “รัดเข็มขัด จัดความสำคัญ” 2.ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความด้อยคุณภาพของการศึกษาที่รัฐเป็นผู้บริหารจัดการและลงทุน 3.การขาดธรรมาภิบาลของรัฐ ที่มีผลต่อการลงทุนทางการศึกษา 4. มายาคติและข้อจำกัดระบบราชการของรัฐ ที่มีลักษณะอำนาจนิยมและล้าหลัง”
ดร.จุฬากรณ์ กล่าวต่อว่า เมื่อดูจากกระแสโลกในเรื่องของข้อจำกัดทางทรัพยากรนั้นมาแรงมาก ฉะนั้นเป็นสัญญาณเตือนว่า หลังจากนี้ควรต้องมีการคิดและวางแผนในเรื่องของทรัพยากรทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากจุดที่รัฐไทยอ่อนแอคือเรื่องของการจัดการในทุกมิติ ทั้งนี้เป็นความท้าทายรัฐไทยอยู่มาก หากรัฐจะจริงจังในการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งต้องมีความชัดเจนว่าจะมีการบริหารจัดการได้ดีเพียงไร มีธรรมาภิบาลที่โปร่งใส และมีเครื่องมือในการตรวจสอบได้อย่างไร รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาด้วย
หลังจากนั้นมีก ารเปิดเวทีเสวนาอภิปรายแลกเปลี่ยนมุมมอง และข้อคิดเชิงนโยบาย โดยมี รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน อดีตผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชิต (สทศ.) รศ.ดร.ประภาภัทร นิยม คณะกรรมการสภาการศึกษาทางเลือก และผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณและดร.ไกรยส ภัทราวาท นักวิเคราะห์นโยบายด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมเสวนา
ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดอ่อนในเรื่องของการจัดการทุกเรื่อง ทุกระดับ มองไม่ออกว่าจะต้องจัดการอย่างไร แม้แต่ผู้ที่เรียนการจัดการศึกษามาก็บริหารไม่เป็น มีแค่เปลือกแต่แก่นไม่ได้ ซึ่งตนเคยเสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการควรต้องเล็กลง ต้องมีการกระจายออกไปยังท้องที่
“สำหรับเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พบว่า ในรัฐธรรมนูญ 2550 มีมาตราที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 11 มาตรา ซึ่งกระทรวงศึกษาได้นำมาออกเป็นมาตรการหรือกฎหมายลูกแล้วหรือยัง แม้กระทั่งบางเรื่องก็มีการทำผิดรัฐธรรมนูญไปแล้วต้องฟ้อง เพราะยังไม่ได้ทำ ทั้งนี้จะเห็นว่า กระทรวงศึกษาธิการทำไม่ครบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยไม่คำนึงถึงประชาชนเลย”ดร.อุทุมพร กล่าว และว่า ณ วันนี้เราอยู่ภายใต้การเมือง ฉะนั้นควรต้องเข้าไปคุยกับผู้ที่เขียนนโยบายโดยตรง
ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ในหลายประเทศ สิ่งที่ไทยยังไม่มีคือ กลุ่มกดดัน เนื่องทุกคนในระบบการศึกษามีความพึงพอใจ เช่น เงินเดือนครูก็ขึ้น เป็นต้น ฉะนั้นการเคลื่อนไหวทางการศึกษาต่ำมาก ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ ตัวการเมืองที่มาบริหารประเทศ ที่ผ่านมาจุดที่ดีๆ ทางการศึกษาถูกการเมืองย่ำยีทำลายหมด เราจึงอ่อนแอทางความคิดกับตัวนโยบายทางการศึกษาค่อนข้างมาก เช่น การศึกษาไม่ทำอะไรเลย มุ่งเรื่องแท็บเล็ตอย่างเดียวเรื่องอื่นไม่เห็น ฉะนั้น บางทีเราอาจต้องใช้กฎหมายและกลุ่มกดดัน ในการบังคับรัฐ
“ปัจจุบัน รัฐบังคับประชาชน ในการจัดการศึกษา เสพเรื่องเงินและงบประมาณมากแต่คุณภาพด้อย ฉะนั้นคงต้องถึงยุคทีประชาชนจะบังคับรัฐ โดยการออกพระราชบัญญัติคุณภาพการศึกษา เนื่องจาก ต้องบังคับรัฐไม่เช่นนั้นการปฏิรูปไม่เกิด และหากต้องการกระทรวงศึกษาเล็กลง ให้มีการปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่ ดูเชิงนโยบาย กำกับมาตรฐาน รัฐจัดไม่เกิน 50% การศึกษาทางเลือก 15-20% ท้องถิ่น 20% รัฐซื้อบริการจากภาคเอกชน 20% ซึ่งในรัฐบาลเดิมมีการพูดถึงมาก แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเรื่องนี้ไม่มีการพูดถึงอีกเลย”
ขณะที่ ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า นอกจากศึกษาต่างประเทศแล้วต้องหันกลับมามองในประเทศไทยว่า สาเหตุเกิดจากอะไร โดยสิ่งสำคัญคือการเมืองที่มีผลกระทบ ซึ่งบริบทในเมืองไทยต้องมองที่ตัวนักศึกษา ผู้ปกครอง ครู ระบบมหาวิทยาลัย การศึกษา และการเมือง
"สำหรับการเมืองนั้น นโยบายหลักที่เห็นมาตลอดคือ นโยบายปลดหนี้ครู และเรื่องของเทคโนโลยี เช่น แท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของการเมืองไม่ใช่การศึกษา" ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าว และว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ซึ่งถ้าจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับนักการเมืองคงเข้าใจกันยาก ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำคือทำเรื่องที่สลับซับซ้อนนี้ให้เป็นในเชิงนโยบาย ที่นักการเมืองสามารถนำไปขายได้ด้วย ส่วนในเรื่องของการศึกษา ต้องมีความชัดเจน ต้องระบุว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
ศึกษาไทยเหมือน "คนอมโรค"
สำหรับปัญหาเรื่องงบประมาณทางการศึกษา ดร.ไกรยส ได้เผยถึงการศึกษาเกี่ยวกับบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติและค่าใช้จ่ายรายหัวการดูแลเด็กด้อยโอกาส ว่า ระบบการศึกษาไทยเหมือน "คนอมโรค" ที่เป็นทั้งโรคอ้วนและโรคหัวใจ นั่นคือเรามีไขมันในระบบทรัพยากรทางการศึกษาสูงมาก อันดับแรกคือ เงินเดือนครูซึ่งคิดเป็น 80% ของงบประมาณการศึกษาหรือ 1 ใน 5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแผ่นดิน
“นอกจากนั้นยังติดที่เรื่องการโยกย้ายและจำนวนครู ฉะนั้นถ้ายังไม่สามารถโยกย้ายครูให้เป็นไปตามประสิทธิภาพที่แท้จริงหรือ ลดจำนวนครูที่ไร้ประสิทธิภาพในการทำงานได้ เราจะไม่สามารถตัดไขมันที่เกินออกมาได้ นอกจากนี้งบประมาณทางด้านการศึกษายังมีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน ได้แก่ 1.งบประมาณดำเนินงาน 2.งบประมาณรายหัวของเด็กที่ไม่ได้ติดตามตัวเด็ก หากมีการย้ายสังกัด 3.เงินอุดหนุนเด็กยากจน ที่แต่ละโรงเรียนได้ไม่ถึง 30% ทั้งที่ต้องจ่ายตามจริงของจำนวนเด็ก 4.งบลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน รับเหมาก่อสร้าง ที่มีปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่น ดังนั้นงบประมาณต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ผ่านการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีการแก้ไข”
ดร.ไกรยส กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายหลายตัวที่ขัดต่อกฎหมายฉบับนี้ ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เรื่องสิทธิเสมอภาคที่พึงได้รับการจัดการด้านการศึกษาอย่างไม่เก็บค่าใช้จ่ายใน 12 ปี ฉะนั้นจึงต้องมีการพิจารณาว่าการจัดการศึกษาในปัจจุบันขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญบ้าง เพื่อปรับการจัดสรรงบประมาณและการวางรูปแบบของการสร้างกลไกการรับผิดที่มีประสิทธิภาพ
ด้าน ดร.ประภาภัทร กล่าวว่า ไม่เข้าใจการศึกษามีเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร ทั้งๆที่การเรียนรู้ควรต้องมีความสุข แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆกลายเป็นเกิดความเครียดกันทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้จัดการศึกษาด้วย
"ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้เรียน แต่อยู่ที่ครูผู้สอน เพราะไม่รู้ว่าจะปั้นให้เด็กเป็นอะไร เนื่องจากไม่มีความเป็นเอกภาพ ยกตัวอย่าง ประเทศจีน ที่ปัจจุบันมีความชัดเจนว่าจะให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ จึงมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้มีเรื่องการคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ลดหน่วยกิจอื่นลง ทั้งนี้ มีผู้รู้ในเมืองไทยจำนวนมากที่มีความสามารถ แต่ไปทำในเวทีเล็กจึงไม่มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน ฉะนั้นต้องหาลู่วิ่งให้มีการทำอย่างชัดเจน ถ้าลู่เหล่านี้ยังไม่เป็นทางการ คนเหล่านี้ก็จะหมดแรงลง"
