“สุทธิชัย หยุ่น” เปรียบโซเชี่ยลมีเดียเป็นอาวุธ ช่วยปลดแอกการทำงานนักข่าว

บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น แนะแนวทางการสอนวารสารต้องฉีกตำราเก่า ไม่มีคำว่าห้องเรียน เน้นปลูกฝังให้มีความมุ่งมั่น –ทุ่มเท ให้เป็นบุคลากรที่ดีในแวดวงสื่อสารมวลชนที่ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
วันที่ 30 มีนาคม นายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น กรุ๊ป บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ทิศทางสื่อ ทิศทางวารสารศาสตร์” ในงานประชุมสัมมนา “ยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์” ครั้งที่ 1 จัดโดย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ร่วมกับ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ศูนย์ศึกษากฎหมายและนโยบายสื่อมวลชน ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ณ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
จากWatch dog กลายเป็นฝูง Watch dogs
นายสุทธิชัย กล่าวว่า สถานการณ์ของวารสารศาสตร์ กำลังเกิดปรากฏการณ์ perfect storm เพราะว่าเราเหมือนกับเรือที่อยู่ในมหาสมุทรที่กำลังเจอพายุที่ปั่นป่วน จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าจะไปทางขวาหรือซ้าย จะถอยก็ไม่ได้เพราะไม่มีอุปกรณ์เพียงพอ ซึ่งเป็นสภาวการณ์ที่เป็นอาชีพสื่อและผู้สอนวิชาวารสารศาสตร์กำลังเผชิญอยู่ แต่ท่ามกลางความสับสนนั้น เราสามารถวางกรอบสิ่งใหม่ได้ ซึ่งนั้นคือ ความท้าทาย และหากจะออกจากปรากฏการณ์นี้ได้ คือคนให้ข่าวต้องให้คนที่ติดตามข่าวเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้
“ ถ้าจะบอกว่าให้วารสารยุคใหม่ไปทางทิศทางไหน สิ่งแรกคือต้องเลิกทุกอย่างที่เป็นปัจจุบัน ต้องฉีกตำราทิ้ง จากเมื่อก่อนที่เรียกตัวเองว่า Watch Dog หรือ Gatekeeper มาวันนี้เราไม่สามารถบอกได้แล้ว เนื่องจากอำนาจเด็ดขาดนั้นไม่ได้อยู่ที่นักข่าวเท่านั้น แต่เป็นใครก็ตามที่สามารถรายงานสิ่งต่างๆ ได้ Watch dog กลายเป็นฝูง Watch dogs จำนวนมาก แต่ทั้งนี้นักข่าวอาจมีจมูกดมกลิ่นที่แม่นยำกว่าฝูงชน ฉะนั้นเราต้องสอนให้นักข่าวรุ่นใหม่ดมกลิ่นได้เก่งกว่าคนทั่วไป ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปที่ก็สามารถรายงานได้เช่นกัน”
นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า เมื่อก่อน เราเป็น Gatekeeper เป็นคนเลือกเปิดประตูให้ข่าวสารผ่านออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านประตูนี้ก่อน แต่ปัจจุบันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว คนไม่ต้องพึ่ง Gatekeeper หรือ บรรณาธิการแล้ว เพราะเรามี Facebook ที่สามารถเขียนความเห็นของตัวเองได้ ซึ่งสองสิ่งนี้ “บทบาท” ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนมี Editor แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Curator และ คำว่า Reporter ก็กลายเป็น Citizen Reporter และต้องยอมรับว่า เด็กรุ่นใหม่ที่เข้าไปในเว็บไซต์และติดตามเรื่องสื่อสารมวลชนเป็นประจำ อาจรู้มากกว่าอาจารย์แล้วก็ได้ ถ้าอาจารย์ยังอยู่กับตำราแบบเดิม
“เราต้องลืมคำว่า ห้องเรียน เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานคำว่าห้องเรียนกำลังจะหายไป เพราะการบ้าน งานให้ส่งผ่าน youtube twitter และเราสามารถนัดสนทนาผ่าน skype หรือ facebook แต่ทั้งนี้ไม่ใช่การเรียนหนังสือเพราะว่าการเรียนรู้ต่อไปนี้ไม่รู้ว่าลูกศิษย์สอนอาจารย์หรืออาจารย์สอนลูกศิษย์ อาจารย์ไม่ใช่ผู้เป็นบอกกล่าว ชี้แนวทางเท่านั้น แต่ต้องเป็น Co-learner อาจารย์ต่างจากนักเรียน นักศึกษาคือ รอบรู้มากกว่า จุดประเด็นและช่วย กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุป” นายสุทธิชัย กล่าว และว่า เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า สอนใคร? สอนอะไร? และ สอนทำไม? เพราะไม่ใช่สอนเพียงเพื่อสอบได้ แต่ต้องสอนเพื่อให้เป็นบุคลากรที่ดีในแวดวงสื่อสารมวลชนที่ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
นายสุทธิชัย กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันไม่มี viewer reader listener แล้ว แต่ขอใช้คำว่า tableteers คือผู้เสพข้อมูลข่าวสารผ่านแท็บเล็ต ไม่ว่าจะมาในรู้แบบของเสียง ตัวหนังสือ หรือภาพ ซึ่งผู้บริโภคข่าวปัจจุบันไม่สามารถแยกได้ว่าเป็น viewer reader listener อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้เนื้อหาข่าวสารต้องเปลี่ยนไป ความต้องการเสพสื่อในรูปแบบต่างๆเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีความเป็น Personal หรือเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีการตั้งช่องเป็นของตนเอง
“กล้าที่จะบอกว่าวันนี้ไม่ต้องเรียนทฤษฎีสื่อสารมวลชน ประวัติศาสตร์สื่อสารมวลชน ไม่ควรต้องอยู่ในห้องเรียน เนื่องจากในสื่อออนไลน์ก็มีให้อ่าน ในขณะที่สิ่งที่จะคุยกันต้องหันมาคุยกันว่าจะสามารถสร้างช่องของตนเองได้อย่างไร สอนว่า Long trail คือสร้างหัวข้อให้ตนเอง สร้างคนอ่านของตนเองแบบเฉพาะทาง”
เปิดตำราสอนเด็กทำนอกกรอบ ล้วงความลับ
ทั้งนี้ นายสุทธิชัย กล่าวถึงคนข่าวยุคใหม่ว่า เทคโนโลยีช่วยปรับให้การทำงานคล่องตัวและทันเหตุการณ์มากขึ้น จากเมื่อก่อนที่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากในการจัดรายการสด แต่ในปัจจุบันนักข่าวกับมือถือหรือ Iphone เพียงเครื่องเดียว ก็สามารถทำรายการสดได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ เราจะสอนให้คนรุ่นใหม่ทำอย่างนี้ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะปัจจุบันเด็กที่จบใหม่ ต้องมานับหนึ่งใหม่ออกไปทำข่าวกับพี่ๆ สะท้อนให้เห็นว่า 4 ปีที่เรียนมาก็ไม่มีความหมายเลย
ในส่วนของการเรียนการสอน นายสุทธิชัย กล่าวว่า การสอนในวิชาวารสารศาสตร์ต้องสอนให้เด็กเป็นดังนี้ 1.นักวิเคราะห์ข่าวดิจิตัล ในทุก platform คือต้องสามารถหาข้อมูล แล้วนำมาตัดต่อให้เป็นบรรณาธิกรที่จะให้ออกไปในทุกรูปแบบได้ และ 2. Curator ของเนื้อหาทุกรูปแบบ ซึ่งความสำคัญยิ่งเนื่องจากข้อมูลข่าวมีมากมาย ต้องสามารถรวบรวมเนื้อหาเพื่อเผยแพร่ออกไปได้
“3. ให้เป็น Julian Assange แห่ง Wikileaks ที่สามารถเจาะข่าวและเปิดโปง ต้องสอนให้เด็กสามารถที่จะทำอะไรนอกกรอบ ค้นหาข้อมูลต่างๆที่ผู้มีอำนาจพยายามปกปิด พูดเลยว่าไม่มีมหาวิทยาลัยไหนที่สอนให้นักเรียนไปหาข้อมูล ล้วงความลับ สอนวิชาล้วงข้อมูลลับของราชการที่ประชาชนควรรู้ Social media มีผลดีที่จะช่วยสังคมมากกว่าผลเสียหลายเท่า เชื่อว่าจะช่วยปรับเปลี่ยนสร้างสังคมใหม่ได้ เป็นสิ่งที่ปลดแอกนักข่าวจากฎเกณฑ์เก่าๆที่เป็นข้อจำกัดของการทำงาน ถ้าใช้เป็นจะเป็นอาวุธที่มีค่ามหาศาล”
ฟันธงไม่เกิน 5 ปี นสพ.ผูกขาดโฆษณาหมดสภาพ
นายสุทธิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ต้องสอนให้ สามารถใช้เครื่องมือทุกอย่างทำได้ (Multimedia User) และต้องเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของสื่อเอง (Entrepreneur journalist) เนื่องจากในอนาคต นายทุนสื่อจะหมดความหมาย เพราะคนข่าวเองมีช่องทางที่จะสื่อหลากหลาย หลังจากนี้อีกไม่เกิน 5 ปี หนังสือพิมพ์ที่ยังผูกขาดรายได้โฆษณา จะหมดสภาพแน่นอน เพราะว่าคนที่เสพสื่อไม่จำเป็นที่ต้องตื่นมาเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์อีกต่อไป เพราะเสพข่าวในสื่อออนไลน์ก็ไม่ต่างจากสื่อกระแสหลัก
ทั้งนี้ นายสุทธิชัยได้ให้คำตอบของคำถาม ว่า “สอนอะไร” ไว้ 8 ข้อดังนี้
1.ความมุ่งมั่นทุ่มเท (Passion) เพื่อความยุติธรรมและความเป็นธรรมของสังคม การมองอนาคตของวารสาร หรือสื่อมวลชนต้องกลับมายังพื้นฐาน ต้องกระตุ้นให้มีความทุ่มเท มุ่งมั่นในสิ่งที่ถูกต้องของสังคม ต้องปลูกฝังว่าไม่ใช่เพียงหาข่าวอย่างเดียว แต่มีหน้าที่ทำให้สังคมดีขึ้น การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและความถูกต้องนั้นต้องมาก่อนทุกอย่าง และจะช่วยให้อาชีพนี้ยั่งยืนต่อไปได้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนต้องเน้นที่คุณธรรม
2.คิดให้เป็น (Critical Thinkin) สอนให้รู้ว่าอะไรคือเหตุและผล อะไรคืออารมณ์ ในการคิดวิเคราะห์ไม่เพียงเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูด ไม่เอาอารมณ์หรือผลประโยนชน์
3.เขียนหนังสือให้เป็น (Clear, focused writing) ยอมรับว่า Social media ทำให้การเขียนหนังสือเปลี่ยนไป
4.จริยธรรม Ethics
5.ทักษะการใช้ new media ทุกประเภท
6.Short-form,long –form journalism ซึ่งจะรูปแบบของ Short Form ได้ใน โซเชี่ยลมีเดีย แต่รูปแบบของ Long Form จะเห็นในบล็อก ซึ่งโชเชื่ยลมีเดียมีพื้นที่ให้สำหรับทุกอย่าง
7.Social media for invertigative reporting เป็นอาวุธที่จะสามารถช่วยได้ดียิ่ง ให้มวลชนช่วยในการหาข่าว วิเคราะห์ข่าว ระดมความคิดของคนได้เป็นจำนวนมาก
8.สร้างหนังโดยใช้ Smartphone
