5 สถาบัน จับมือเปิดพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการ หาทางออกขจัดอคติ อารมณ์ ความขัดแย้ง

5 สถาบันหนุนขยายพื้นที่เสรีภาพสังคมไทย ฉะนโยบายการเมืองหาทางออกระยะสั้น ไม่คำนึงความซับซ้อนของปัญหา ชี้ปรองดองไทย ใช้ "คำ" เป็นเครื่องมือ แต่ไม่สุจริตใจต่อสถานการณ์ ชี้กลายเป็น "สงครามปรองดอง"
วันที่ 28 มีนาคม สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันพระปกเกล้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดแถลงการณ์และเสวนา "ภารกิจการขยายพื้นที่เสรีภาพให้กับสังคมไทย 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และ 40 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516" ณ ห้องประชุมวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มธ. (ท่าพระจันทร์) โดยมี อ.ธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการ สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มธ. ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้งและที่ปรึกษาสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวฯ และนักวิชาการหลายสถาบัน ร่วมงาน
ด้วยเพราะ ทั้ง 5 สถาบัน เห็นพ้องกันว่า ยุคปัจจุบันควรที่จะขยายพื้นที่ทางสิทธิเสรีภาพให้กว้างขวางขึ้น ตามหลักการที่ว่า เสรีภาพคือ การใช้สิทธิอำนาจของตัวเอง เพื่อรับผิดชอบต่อตัวเอง ผู้อื่น และส่วนรวม การขยายพื้นที่เสรีภาพจึงบ่งชี้ว่า ประชาชนทุกคนทุกฝ่ายเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน จึงมีความจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องมีเสรีภาพในการแสดงออกในการเสนอประเด็นปัญหา องค์ความรู้ ทัศนะต่างๆ ที่จะทำความเข้าใจปัญหา ผลดี ผลเสีย หนทางแก้ไข ในทุกๆ ประเด็น ที่มีความสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ 5 สถาบันดังกล่าว เป็นสถาบันวิชาการสำคัญของประเทศ จึงจะใช้เสรีภาพในลักษณะที่เป็นวิชาการ เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ ขณะเดียวกันจะพยายามขจัดอคติทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอคติจากอารมณ์ทั้ง 6 หรือที่เรียกว่าอคติ 4 เช่น อคติจากความหวาดกลัวภัย จากปฏิกิริยาความไม่พอใจของฝ่ายต่างๆ เป็นต้น โดยกิจกรรมที่จะจัดร่วมกันจะขยายไปยังสถาบันอื่นๆ ด้วย ซึ่งคาดว่าจะจัด 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง เกี่ยวกับปัญหาสังคมและการเมืองไทย โดยมีประเด็นที่จะนำเสนอในรูปแบบวิชาการต่างๆ แก่สาธารณชนในช่วงปี 2555 - 2556 คาดว่าจะครอบคลุมประเด็นที่จำเป็นต่อสังคมไทย ดังต่อไปนี้
1.เสรีภาพในสังคมไทย 2.เราจะแก้ปัญหาทุรวาทกรรมโทสะวาท มโนหะวาท เช่นความเกลียดชังในสังคมไทยอย่างยั่งยืนได้อย่างไร 3.มิติของการแก้ไขความเหลื่อมล้ำในความเป็นสังคมไทยอย่างยั่งยืน 4.กระบวนการยุติธรรมกับประเทศไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน 5.นโยบายประชานิยม ผลดี ผลเสีย ต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองไทย 6.ความคิด "ชาตินิยม" ข้อดี ข้อเสีย และ 7.ความหมาย ความสำคัญของเสรีภาพในการประท้วง การแสวงหาจุดร่วมความเหมาะสม ความพอดี ของเสรีภาพในการประท้วง
นายธีรยุทธ กล่าวว่า คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ตนเห็นว่าต้องมีเสรีภาพที่กว้างขวางจริงจังที่สุด แม้ในประวัติศาสตร์การเมืองคนไทยก็ได้เสรีภาพมาด้วยความยากลำบาก ในฐานะที่ตนเป็นผู้ร่วมเรียกร้องในเหตุการณ์ 14 ตุลา ตนจะดีใจมากที่สุด หากชาวบ้านสามารถรักษาสิทธิเสรีภาพที่ได้มานี้ อย่างยั่งยืนต่อไป ในส่วนนักคิด หรือนักวิชาการต้องให้สังคมรับรู้ชัดเจนว่าแต่ละคนเป็นนักคิดแนวไหน รวมถึงการสร้างองค์ความรู้ในการวิจัยเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวว่า ท่ามกลางสังคมที่ขัดแย้ง มีปัญหาอคติ ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่ความซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่นโยบายทางการเมืองมุ่งหาทางออกแค่ระยะสั้น ไม่คำนึงถึงความซับซ้อน หรือไม่สามารถหาทางออกได้ ซึ่งตนเห็นว่า การเปิดเสรีภาพ จะเป็นแนวทางที่นำไปสู่ทางออก
"เสรีภาพทางวิชาการมีความสำคัญมาก และต้องเป็นเสรีภาพที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ด้วยเพราะขณะนี้นักวิชาการที่แสดงความคิดเห็นมักไม่แสดงออกถึงความรับผิดชอบด้วย ตนจึงเห็นว่า การสร้างเวทีให้คนที่เห็นต่างมานั่งคุยกันจะทำให้สังคมมีทางออก"
ด้านศ.ดร.สุริชัย กล่าวว่า สังคมไทยยุคก่อนหน้านี้ก็มีคำว่า สมานฉันท์ สานเสวนา จนกระทั่งมา ปรองดอง ล้วนให้ความสนใจกับการใช้คำ แต่ไม่สนใจการทำความเข้าใจกัน ความสุจริตใจต่อสถานการณ์มีความสำคัญมากกว่าภาษาที่ใช้มาเป็นเครื่องมือ และกลายเป็น "สงครามปรองดอง" และวังวนนี้จะคลี่คลายไม่ได้หากไม่พิจารณาร่วมกัน
ขณะที่ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวว่า ในภาวะแบ่งฝ่ายทางการเมือง หากวงวิชาการไม่สามารถเปิดกว้างเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นได้ ก็จะเหมือนการอภิปรายเรื่องปรองดองในสภาฯ ที่ไม่นำประเทศไปสู่การปรองดอง แต่การแบ่งฝ่ายและการเห็นต่างจะยุติลงได้หากมีการพูดคุยในวงเดียวกัน ซึ่งดีกว่าต่างคนต่างมุมมีวิวาทะต่อกัน
ส่วนข้อเสนอเรื่องปรองดองของสถาบันพระปกเกล้านั้น ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวว่า ข้อเสนอฉบับดังกล่าว ไม่ใช่ความเห็นสุดท้าย แต่ต้องสร้างบรรยากาศการปรองดองให้เกิดขึ้นก่อน แล้วพัฒนาหาข้อยุติ แต่ทั้งนี้ เมื่อมีการนำเสนอรายงานออกไปบางท่านก็ไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมด อ่านเพียงบางส่วน แล้ววิพากษ์วิจารณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงท้ายเวทีเสวนา รศ. ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และการเมือง ให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวว่า เสรีภาพทางวิชาการและทางสังคมเป็นโจทย์ใหญ่ สถาบันอุดมศึกษาต้องเปิดพื้นที่ทางวิชาการ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนสัมฤทธิ์ของสาธารณะ เรื่องทัศนะทางการเมืองทั้งดีและเลว ทั้งนี้ ต้องเป็นพื้นที่ที่นำเสนอข้อเท็จจริง ไม่มีคุณค่าเชิงตัดสิน เช่นเดียวกับนักวิชาการที่ไม่ควรนำเสนอความคิดของตนเองว่าถูกต้องเสมอไป ด้วยเพราะข้อเท็จจริงต้องปราศจากการตัดสินเชิงคุณภาพ
ขณะที่นายโคทม อารียา ผอ. ศูนย์ศึกษาและ พัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล กล่าวว่า หากมีการจำกัดเสรีภาพทางวิชา และทางการเมือง จะเป็นการกดขี่ข่มเหง ทั้งเรื่องความคิดและความเชื่อ และเมื่อการกดขี่ข่มเหงที่ใด ก็จะมีการต่อสู้ที่นั่น ทางออก คือ ต้องเปิดพื้นที่ทางวิชาการให้กว้างที่สุด ทั้งนี้ นักวิชาการต้องไม่หายตัวไปรับใช้ผลประโยชน์หรืออำนาจ แต่ต้องมีอุดมการณ์ของตนเอง เช่นเดียวกับที่สื่อมวลชนต้องมีจรรยาบรรณ
ด้านดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ความรับผิดชอบทางวิชาการเป็นสิ่งสำคัญ ที่นักวิชาการต้องพูดในเรื่องที่ตนเองรู้ แต่นักวิชาการไทยจำนวนมากกลับพูดในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ ทั้งนี้ ความรับผิดทางวิชาการ ยังหมายถึงการวิเคราะห์วิจารณ์ที่การกระทำและนโยบาย ไม่ใช่วิจารณ์ที่ตัวบุคคล ซึ่งสังคมต้องช่วยกันตรวจสอบนักวิชาการด้วยว่าวิจารณ์ที่อะไร อย่างไรก็ตามการวิจารณ์ต้องมีข้อเสนอแนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการวิจารณ์โดยไม่มีความรับผิดชอบ อีกทั้งต้องต้องลดภาษาประชดประชัน อันเป็นที่มาของการตอบโต้และไม่ร่วมเวทีเดียวกัน
