ดีเดย์ขึ้นค่าจ้าง 1 เม.ย. นักวิชาการ ชี้ปรับ-จับ ยาก 'นายจ้าง' เลี่ยงกฎหมาย

อ.เศรษฐศาสตร์ มธ. คาด 2 ไตรมาสเห็นผลกระทบชัดขึ้นค่าจ้าง 300 บ. 'เจ๊ง-เลิกจ้าง' แนะรัฐจัดสวัสดิการที่อยู่อาศัย ยั่งยืนกว่าประชานิยม ผอ.สสว. ลั่น เอสเอ็มอีกลุ่มไฟฟ้าปิดกิจการ 50% เป็นไปไม่ได้ บอกอย่าโยนบาปให้นโยบายค่าแรง
ศ.ดร.ปราณี ทินกร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับ “ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา” ถึงนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรปราการ เริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ว่า การปรับขึ้นค่าจ้างดังกล่าว เป็นการปรับขึ้นทีละขั้นโดยเลือกพื้นที่เป็นเกณฑ์ เริ่มดำเนินการใน 7 จังหวัดก่อน ฉะนั้น เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งมีค่าแรงสูงอยู่แล้ว
"ผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับกระทบมาก คือธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น ภาคบริการ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม ตลอดจนภาคเกษตร ประมง ก่อสร้าง ซึ่งการที่ต้นทุนค่าจ้างสูงขึ้น เชื่อว่า ในที่สุดผู้ประกอบการที่สามารถส่งผ่านหรือผลักภาระไปที่ราคาสินค้าได้ ก็จะทำ” ศ.ดร.ปราณี กล่าว พร้อมแสดงความกังวลถึงเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวอีกว่า จำนวนแรงงานในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 37 ล้านคน มีเพียงประมาณ 14 ล้านคนเท่านั้นที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชนและรัฐ ส่วนที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า มอเตอร์ไซค์ เกษตรกร เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง ฉะนั้น เมื่อไม่มีใครไปบังคับว่าต้องจ่าย 300 บาท คนกลุ่มนี้ก็จะได้รับผลกระทบ มีอำนาจซื้อน้อยลง อีกทั้งข้อเท็จจริงปัจจุบันนี้พบว่า แม้ยังไม่ขึ้นค่าจ้าง แต่ราคาสินค้าก็ปรับขึ้นไปดักหน้าอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า กรณีมีความเป็นห่วงนโยบายนี้จะส่งผลให้เกิดการเลิกจ้าง หรือผู้ประกอบการปิดกิจการนั้น ศ.ดร.ปราณี กล่าวว่า ในเรื่องนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ไตรมาส ถึงจะเห็นผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นชัดมากยิ่งขึ้นหลังจากนโยบายค่าจ้าง 300 บาท ดำเนินการทั่วประเทศ
"การปรับตัวของตลาดแรงงานเกือบทุกประเทศพบว่า ตลาดแรงงานเป็นตลาดที่ปรับตัวตามหลังภาวะเศรษฐกิจ จึงยังต้องรอดู ช่วงเริ่มต้น เมื่อรัฐบาลทำแค่ 7 จังหวัดคงไม่เห็นผลกระทบมากนัก" ศ.ดร.ปราณี กล่าว และว่า หากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถผลักภาระไปที่ราคาสินค้าได้ หรืออยู่ต่อไม่ได้ ในที่สุดก็จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิต ซึ่งขณะนี้มีให้เห็นบ้างแล้ว และเราคงต้องยอมรับ ธุรกิจบางประเทศเท่านั้นที่ย้ายฐานการผลิตได้ ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากๆ เช่น ภาคบริการ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม คงไม่สามารถย้ายฐานการผลิตได้
ขณะที่บทลงโทษ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระบุปรับ 100,000 บาท จำคุก 6 เดือน หากไม่ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทในวันที่ 1 เม.ย.นั้น ศ.ดร.ปราณี กล่าวว่า ในอดีตที่เพิ่มค่าจ้างเป็น 200 บาทก็มีบทลงโทษเช่นเดียวกัน แต่หากไปดูตามต่างจังหวัดแล้วจะพบว่า ลูกจ้างภาคเกษตรได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมากมาย ประกอบกับมีข้อมูลจากสำนักงานสถิติที่เคยทำไว้ ระบุว่า ในปี 2554 มีลูกจ้างภาคเอกชนประมาณ 20% ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ทั้งๆ ที่มีกฎหมายบังคับใช้
"ดังนั้นครั้งนี้จึงเชื่อว่า กฎหมายก็ตามไปไม่ถึงในภาคที่ไม่เป็นทางการ ด้วยมีข้อจำกัดกำลังเจ้าหน้าที่ไม่พอ กฎหมายจึงเหมือนเขียนเสือไว้ให้วัวกลัวเท่านั้น ส่วนคนที่ปฏิบัติตาม คือ ภาคทางการ บริษัทห้างรายใหญ่ๆ รัฐวิสาหกิจ เนื่องจากกลัวเสียชื่อเสียง”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ปราณี กล่าวด้วยว่า การปรับขึ้นค่าจ้าง เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้น ต้องเห็นใจผู้ใช้แรงงานด้วย แต่นอกเหนือจากการปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างแล้ว การดูแลสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยผู้ใช้แรงงานที่ส่วนใหญ่อพยพมากจากต่างจังหวัดได้
“ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนสูงมากในค่าใช่จ่ายแต่ละเดือนของลูกจ้าง ซึ่งหากรัฐเข้ามาสนับสนุน โดยให้เงินอุดหนุนกับนายจ้าง เพื่อนำไปใช้จัดสรรสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย เพื่อให้ลูกจ้างมีที่พักใกล้ที่ทำงาน ก็จะช่วยประหยัดใช้จ่าย ค่าเดินทางได้ การช่วยที่เป็นระบบย่อมดีกว่าการช่วยที่เป็นประชานิยมเป็นครั้งคราว และยังยั่งยืนกว่า”
ด้าน ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวถึงผลกระทบของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทว่า แม้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่เมื่อรัฐบาลได้ประกาศนโยบายนี้มานานพอสมควร ธุรกิจบางประเภทจึงได้ปรับตัวไปบ้างแล้ว
ส่วนต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นนั้น ผอ.สสว.กล่าวว่า อาจทำให้ธุรกิจมีปัญหาในระยะแรก แต่ก็เชื่อว่าเมื่อมีกำลังซื้อมากขึ้น จะเกิดแรงเหวี่ยงให้สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้เช่นกัน
“เราต้องมองวิกฤตให้เป็นโอกาสและถือเป็นการปรับตัวของเอสเอ็มอีไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาซียน เพราะสุดท้ายแล้ว เราคงไม่สามารถไปสู้กับประเทศที่มีค่าแรง 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อวันได้”ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าว และว่า ในประเทศสิงคโปร์นั้นมีอัตราค่าแรงสูงกว่าไทย แต่ยังสามารถอยู่ได้ เพราะฉะนั้น เราควรปรับปรุงผลิตภาพ ประสิทธิภาพให้สูงขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กรมแรงงานจะต้องเข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิต (productivity) เพื่อให้มีการจ่ายค่าแรงเป็นไปตามความเหมาะสม
ในส่วนการเลิกจ้าง หรือปิดกิจการ ภายหลังการปรับขึ้นค่าจ้างนั้น ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงแรงงานได้มีมาตรการพอสมควรเกี่ยวกับการพยุงการเลิกจ้าง ส่วนที่พูดกันมากจะมีการปิดกิจการ เช่น กลุ่มไฟฟ้าที่มีตัวเลขสูงถึง 50% นั้น ตนยังมองโลกในแง่ดีว่าเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐคงต้องเข้าไปช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวให้ได้
“หากมีปิดกิจการหรือการเลิกจ้างเกิดขึ้น คงไม่สามารถโยนบาปไปที่เรื่องค่าแรง 300 บาทอย่างเดียวได้ ต้องดูปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อต้นทุนประกอบด้วย เช่น ราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ สิ่งที่เหล่านี้ผมกำลังเป็นห่วง นอกจากเรื่องค่าแรง”
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
สสว.วิเคราะห์ผลกระทบ นโยบายค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/public-policy-labor/item/7342--300-.html
ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/public-policy-labor/item/7319-2012-03-21-13-55-18.html
ดาวน์โหลด ประกาศคณะกรรมการค่าจ้างเรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 6) และคำชี้แจง พร้อมตารางแสดงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ http://www.mol.go.th/employee/interesting_information/4131
