ก่อนนักลงทุนชิ่งหนี 'ประเสริฐ' จี้รัฐกำหนดกลยุทธ์ยกระดับ-ปรับปรุงศักยภาพการแข่งขัน

“กรรมการ กยอ.” เผยไทยส่วนแบ่งการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ-ขีดความสามารถแข่งขันของไทยลดลง เตือนรัฐ เร่งพัฒนาศักยภาพการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม ดึงดูดนักลงทุนระยะยาว พร้อมจี้รัฐมองความคุ้มค่าควรงดอุดหนุนพลังงาน เริ่มเก็บภาษีดีเซล
วันที่ 2 เมษายน สถาบันสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดสัมมนาเชิงวิชาการประจำปี 2012 เรื่อง “รับมือกับวิกฤตภัย ปรับตัวอย่างไรให้ธุรกิจไทยยั่งยืน” โดยนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดการสัมมนา ตอนหนึ่งถึงความรุนแรงจากธรรมชาติและวิกฤติภัยต่างๆ กระทบต่อระบบโครงสร้างทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อปกป้องและนำพาความต่อเนื่องให้ธุรกิจของตนเอง เพื่อให้ดำเนินต่อไปแม้อยู่ในภาวะไม่ปกติ
ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเริ่มนำเอาแนวคิดการจัดการเพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ Business Continuity Management (BCM) มาเป็นการผสมผสานหลักและวิธีการเมินความเสี่ยง กับการวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ มาสร้างเป็นยุทธศาสตร์และแผนงานขององค์กร โดยต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจของหน่วยงานในภายองค์กรหลากหลายฝ่าย และเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมหรือเหตุการณ์ต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจด้วย ซึ่งทำให้มีความสัมพันธ์ในเชิงกระบวนการทางสังคมอย่างใกล้ชิดในรูปแบบของการเอื้อเฟื้อต่อกัน และเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิด “ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน”
หวั่นระยะยาวไทยสูญเสียความสามารถการแข่งขัน
จากนั้น นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการประสานความร่วมมือและสร้างความมั่นใจกับภาคเอกชน หนึ่งในกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) กล่าวถึงแผนการรับมือวิกฤติภัยของชาติ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งในประเทศ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ โดยในทศวรรษที่ผ่านมามีภัยพิบัติเกิดขึ้นกว่า 7,000 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและธุรกิจทั่วโลก ซึ่งในความท้าทายที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ คือ ความผันผวน ความซับซ้อน ไม่แน่นอน และความคลุมเครือ รวมทั้งในบางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน
“ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อายุของบริษัทจะสั้นลง หรือแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่เองก็สามารถล้มได้เช่นกัน นอกจากนี้ไทยยังเผชิญกับความท้าทายและความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่ 1.ปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจโลก 2.เหตุการณ์ภัยพิบัติปี 2554 และ 3.ในระยะยาวไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน”
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยในปี 2553-2554 ไทยมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น นอกจากนี้การจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่า หากไทยยังเป็นแบบนี้ประเทศอาจจะลำบาก
“ไทยต้องเร่งรักษา และสร้างความแตกต่าง พร้อมทั้งยกระดับและปรับปรุงศักยภาพการแข่งขันเพื่อให้สามารถดึงดูดนักลงทุนในระยะยาว โดยที่ผ่านมา เราเข้มงวดในบางเรื่องมากเกินไป จนทำให้ตกบางเรื่องไป ฉะนั้นไทยจำเป็นต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ เพื่อรับมือความความท้าทายที่จะเกิดขึ้น โดยสอดคล้องกับกระแสของโลก” นายประเสริฐ กล่าว และว่า ท้ายสุดแล้วต้องกำหนดทิศทางว่าในแต่ละมิติจะมีการจัดการอย่างไร และกำหนดให้เรื่องใดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด รวมทั้งต้องกำหนดว่าจะต่อยอดอุตสาหกรรมอย่างไร ที่จะไม่ให้นักลงทุนย้ายฐานไปที่อื่น
ไม่เก็บภาษีน้ำมัน สูญเงินไปแล้วกว่า 1.2 แสนล.
ทั้งนี้ นายประเสริฐ กล่าวถึงการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศด้วยว่า เนื่องจากไทยนำเข้าพลังงานมากกว่าครึ่ง ในรูปของน้ำมัน ถ่านหินและแก๊สธรรมชาติ และแก๊สหุงต้ม ปีหนึ่งมูลค่า 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10% ของจีดีพี ทั้งนี้ประเทศเราผลิตพลังงานไม่พอต้องนำเข้าในราคาตลาดโลก แต่เรามาขายในราคาอุดหนุนทำให้การอุดหนุนโตขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นเงินกองทุนที่มีควรจะไปใช้ในยามที่สถานการณ์ไม่ปกติ หรือยามที่จะสนับสนุนส่งเสริมการใช้พลังงานให้ถูกชนิดและมีประสิทธิภาพ แต่เรากลับนำมาใช้มากในการอุดหนุนราคาที่ไม่ค่อยจะสอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น ทำให้เราต้องใช้เงินมาก ซึ่งส่งผลให้เงินไม่พอจนต้องไปกู้และเป็นหนี้
“ หากเรายังอุดหนุนกันอยู่อย่างนี้ เงินกองทุนจะติดลบมากขึ้น และในวันหนึ่งก็จะไม่สามารถอุดหนุนต่อไปได้ นอกจากนี้ในส่วนที่รัฐบาลไม่เก็บภาษีสรรพาสามิตน้ำมันดีเซล ทำให้เงินเราสูญเงินไปกว่า 1.2 แสนล้านบาท เป็นเงินจำนวนมากที่รัฐสามารถพัฒนาสร้างรถไฟฟ้า 1 สายได้ และนำไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆได้ ฉะนั้นต้องคำนึงว่า การอุดหนุนราคาน้ำมันนั้นคุ้มค่าหรือเป็นธรรมต่อสังคมหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามการจัดการเรื่องนี้ต้องค่อยไปค่อยไป คงไม่จำเป็นต้องทำในทันทีทันใด เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์มากมาย และยังมีเรื่องฟื้นฟูและอื่นๆให้ต้องจัดการก่อน”
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ กล่าวว่า สิ่งต่างๆที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว รวมทั้งการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะนั้น สามารถทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มกลับมา และในขณะนี้บางนิคมฯ ในจังหวัดอยุธยาก็กลับมาทำการผลิตได้แล้วจำนวนหนึ่งจึงเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟู โดยคาดว่า ในไตรมาสที่ 2 จะมีการฟื้นฟูที่ดีขึ้น และในไตรมาสที่ 3-4 จะกลับสู่สภาพเดิม
เตือนภาคธุรกิจมองความเสี่ยง ต้องคิดถึงเพื่อนบ้าน
ขณะที่ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช ที่ปรึกษาด้านการจัดการภัยพิบัติระดับนานาชาติ กล่าวถึงการเตรียมพร้อมให้กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในการรับมือกับวิกฤติภัยในอนาคต ว่า การมองเรื่องความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในภาคธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาเรามุ่งไปที่เรื่องน้ำท่วม โดยอุตสาหกรรมหลายแห่งได้มีการสร้างกำแพงสูงประมาณ 7-8 เมตร ซึ่งอาจจะมีอีกหลายโรงงานที่กำลังมองหาวิธีในการป้องกัน แต่ทั้งนี้ควรต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะมากับภัยพิบัติด้วย เช่น การสร้างกำแพงต้องระวังด้วยว่า หากน้ำย้อนเข้าไปในทิศทางหรือตำแหน่งที่ไม่ได้ตั้งใจ จะทำให้นำน้ำออกมาลำบาก รวมทั้งเรื่องของสารเคมีรั่วไหลหรือไฟไหม้ภายในก็จะลำบากยิ่งขึ้น
“ที่สำคัญในการมองความเสี่ยง ภาคธุรกิจอาจต้องคำนึงถึงเพื่อนบ้านที่ไม่ใช่เพียงประชาชนหรือโรงงานข้างเคียง ต้องเผื่อใจสำหรับการมองความเสี่ยงที่ไกลกว่าพื้นที่ในเขตควบคุมของตนเอง อีกสิ่งหนึ่งคือความเสี่ยงของการขาดศรัทธาของลูกค้ากับผู้ประกอบการ แต่ทั้งนี้สิ่งที่ภาคธุรกิจทำได้ดีคือการประเมินศักยภาพของตนเอง ซึ่งนั่นอาจมีสาเหตุจากที่ภาคธุรกิจมีพื้นที่ในการดูแลน้อยกว่าภาครัฐ ฉะนั้นการคาดการณ์จะสามารถทำได้ทั่วกว่า” ผศ.ดร.ทวิดา กล่าว และว่า ควรต้องมีการทำระบบสำรองทางด้านไอทีและทางกายภาพ จัดระดับความเสี่ยง และประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นลำดับขั้น
ผศ.ดร.ทวิดา กล่าวถึงการวางแผนการจัดการของภาครัฐด้วยว่า ควรต้องใช้โครงสร้างที่มากกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา นั่นคือควรต้องคิดเผื่อไปว่า หากปีหน้าน้ำมามากกว่าปี 2554 จะมีวิธีจัดการเช่นไร เพื่อที่จะไม่ต้องมีคำว่า “คาดไม่ถึง” เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้อย่าใช้ข้ออ้างที่ว่าประชาชนคัดค้าน หรือเป็นส่วนที่ทำให้การทำงานไม่เป็นไปตามแผนอีก ฉะนั้นนอกจากการโครงสร้างการทำงานที่เป็นไปตามแผนแล้ว ก็ต้องมีวิธีการที่จัดการหากไม่เป็นไปตามแผนด้วย
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ทวิดา กล่าวด้วยว่า ในการบริหารงานในประเทศไทยนั้นแม้จะมีโครงสร้างที่ดีแค่ไหน จะต้องมีการเมืองเข้าไปตัดสินใจโครงสร้างนั้นตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศคือ ในการตัดสินใจบริหารจัดการใดๆก็ตาม คณะบริหารจัดการจะประกอบไปด้วยนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์และข้าราชการประจำที่มีข้อมูลเท่านั้น นักการเมืองไม่มีสิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแทรกแซงแผนที่วางไว้
“ภาคธุรกิจต้องวางแผนไว้ด้วยในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในแผน และที่สำคัญอยากให้ภาคธุรกิจเป็นหน่วยงานตรวจสอบการทำงานตามนโยบายที่ กยน. แนะนำ ซึ่งหากมีผู้ตรวจสอบจะทำให้โครงสร้างและแผนงานที่วางไว้จะถูกปัจจัยรบกวนน้อยลงเพราะมีผู้ที่จะเข้ามาตรวจสอบตามที่ควรจะเป็น”
เสนอ ส.อ.ท. แม่งานตรวจสอบแผนจัดการน้ำของรัฐบาล
ด้านนางพัชรี คงตระกูลเทียน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในช่วงที่ต้องแก้ปัญหา แต่ทั้งนี้ก็ไม่อยากเห็นการใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เฉพาะการแก้น้ำท่วมแล้วจบ แต่อยากจะเห็นภาพที่เป็นบูรณาการในระดับประเทศ เช่น ในส่วนของฟลัดเวย์จะเป็นแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร หรืออาจจะมีการบูรณาการปรับให้เป็นขนส่งทางน้ำไปเลยได้หรือไม่ หรือในพื้นที่น้ำท่วมขังมากก็สามารถปลูกปาล์มแทน เป็นการช่วยวิกฤตพลังงานและสร้างความมั่นคงไปได้ในเวลาเดียวกัน
สุดท้ายนายอภิชัย อินต๊ะแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานไอบีและบีซีเอ็มกลาง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนของ กยน. ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ การเชื่อมโยงการทำงานกันระหว่างส่วนกลางและในท้องถิ่น พร้อมมองว่า ภาคเอกชน และประชาชนต้องเข้มแข็ง ซึ่ง ส.อ.ท. เองสามารถเป็นหน่วยงานที่จะคอยตรวจสอบว่าแผนของรัฐบาลทำจริงหรือไม่
