คนไทยมองศาลห่างๆ 'ธีรยุทธ' แนะเปิดพื้นที่พูดคุยใกล้ชิด ปชช.

อ.ธีรยุทธ ชี้ไทยอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ทุกสถาบันทุกองค์กรต้องเผชิญหน้ากัน แนะไม่ต้องเรียกร้องให้ใครทำ แก้ได้เริ่มที่ตนเอง ขณะที่ดร.อมร บอกยกระดับคำวินิจฉัย พิจารณาจาก 3 เหตุ คัดเลือกตุลาการ-วิธีพิจารณา-หน่วยธุรการตรวจสอบ
วันที่ 5 เมษายน สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย จัดงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ “ประเทศไทยยุคเปลี่ยนผ่าน : ประเทศไทยกับระบบศาล” โดยมี อ.ธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ หมายความว่า ทุกสถาบันทุกองค์กรต้องเผชิญหน้ากัน และมีเส้นทาง 2 เส้นทางใหญ่ 1.เส้นทางของวิกฤตที่ค่อนข้างจะรุนแรง อย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ที่มีความรุนแรงอยู่หลายเรื่อง และ 2. ทุกส่วนในสังคมต้องเร่งปฏิรูปตนเองข้างใน หรือว่ามองปัญหาของตนเองให้มาก ซึ่งทุกวันนี้สังเกตว่าคนไทยไม่ค่อยฟังใคร ฉะนั้นไม่ต้องเรียกร้องให้ใครทำแต่ต้องแก้ไขและเรียกร้องให้ตนเองทำ
“ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านใหญ่ที่สำคัญ เนื่องจากเราอยู่ในโปรแกรมการขับเคลื่อนประเทศหรือโปรแกรมของการพัฒนามานานกว่า 50 ปี ซึ่งก็คงเฉื่อยและล้า จนพบว่าเริ่มมีปัญหาและมีความขัดแย้งปะทุขึ้นเรื่อยๆเป็นระยะๆ เริ่มจาก 14 ตุลา และก็มีเหตุการณ์รุนแรงและวิกฤตต่างๆเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย” นายธีรยุทธ กล่าวและว่า เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโปรแกรมนี้ล้าแล้ว และคงต้องยกเครื่องหรือสังคายนากันใหม่
ปัญหาเกือบทั้งหมด ภาระตกอยู่กับศาล
อ.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลากหลายมิติมาก เช่นปัญหาแรงงาน ซึ่งในสมัยนั้นเรามองปัญหาแรงงานเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อมีกรรมกรหรือแรงงานมานอนอยู่ที่หัวลำโพงก็เป็นปัญหาใหญ่ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร หลังจากนั้นไม่นานคนอีสานก็เป็นแรงงานทั่วประเทศ ฉะนั้นปัญหาแรงงานก็เป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง และก็ต้องตกไปภาระของศาลจนต้องมีการจัดตั้งศาลแรงงานขึ้น
“นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหามลพิษ ที่ศาลปกครองต้องไปตัดสินคดีมาบตาพุด ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมีการทำโรงงานไปแล้วแต่ก็มีการสั่งระงับ ในขณะที่นักเอ็นจีโอและประชาชนก็ยินดีที่ไม่ต้องมีการกระทำที่ให้เกิดผลกระทบ และขณะนี้คดีเริ่มคลี่คลาย แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาที่ศาลต้องเผชิญกระเทือนไปกว้างมาก ฉะนั้นบทบาทของศาลในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จึงเป็นบทบาทที่ต้องให้ความสนใจ มีการถกเถียงและพูดคุยกัน” นายธีรยุทธ กล่าวและว่า สิ่งสำคัญคือ อยากให้ศาลมีการพูดคุยกับประชาชนมากขึ้น เพราะคนไทยจะมองศาลห่างๆ ซึ่งน่าจะมีความจำเป็นที่ศาลต้องมีการสนทนากับประชาชนมากขึ้น
อ.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า โดยสรุปทางเศรษฐกิจมองว่า ปัญหาเกือบทั้งหมดที่ภาระตกอยู่กับศาลนั้น เป็นปัญหามีการสะสมมาตั้งแต่การพัฒนาที่ไม่มีระบบไม่มีทิศทาง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่ตัดสินก็ต้องเป็นศาล แม้แต่ข้อพิพาทด้านทรัพยากรก็ต้องเป็นภาระของศาลเช่นกัน
“นอกจากนี้ยังมี วิกฤตทางการเมืองด้วย ซึ่งก็มีการแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้งหลายหน และปัจจุบันเองก็จะมีการยกร่างรัฐธรรมใหม่ ซึ่งก็มีการถกเถียงกันว่าควรจะเป็นไปในทิศทางไหน โดยท้ายสุดเมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ ร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคดีทางกรเมืองด้วยเช่นกัน ฉะนั้นสำคัญคือมีบทสนทนาร่วมกัน เพื่ออุดช่องว่างของรัฐธรรมนูญ”
คำวินิจฉัย ต้องอยู่ในสภาพ เชื่อถือได้ 90%
จากนั้น มีการปาฐกถาเกียรติยศหัวข้อ “ศาลรัฐธรรมนูญกับศาลปกครองของประเทศไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน” โดย ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน
ศ.ดร.อมร กล่าวว่า ระยะเวลานี้เป็นระยะเวลาที่สำคัญที่สุด นั่นคือบทบาทของศาลในระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง มีความสำคัญมากในฐานะที่เป็นสถาบันตรวจสอบการเมือง ซึ่ง จะเห็นว่าในปี 40 ระบบศาลในด้านแนวความคิดนั้นก้าวไปข้างหน้า เพื่อตรวจสอบกับสถาบันการเมืองซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมาก โดยในระยะเวลาเปลี่ยนผ่านนี่เองที่ระบบศาลต้องเจอศึกหนัก กับระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภา
“ระบบศาลจึงต้องตรวจสอบกับระบบสถาบันการเมืองที่ไม่เหมือนกับประเทศอื่นที่มีระบบประชาธิปไตยซึ่งต้องมาดูว่าระบบศาลในระยะเปลี่ยนผ่านที่มีระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภานั้น ศาลเองจะสามารถสร้างผลงานได้ดีหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าผลงานของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองสามารถสร้างความศรัทธาได้พอเพียงหรือไม่ ทั้งนี้คำวินิจฉัยของศาลไม่ว่าจะเป็นศาลใด ต้องอยู่ในสภาพที่ดี เชื่อถือได้ 90%”
ศ.ดร.อมร กล่าวถึงคุณภาพของคำวินิจฉัยของศาลนั้นดีหรือไม่ดี ต้องเริ่มดูว่ามาตรฐานนั้นอยู่ในที่ที่ควรจะเป็นหรือไม่ แล้วหลังจากนั้นจึงมาดูว่า หากอยู่ในสภาพที่ไม่สมควร ต้องมาดูมาตรฐานคำวินิจฉัยว่าสมควรหรือไม่ ซึ่งจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ใน มาตรา 4 วรรค 1 เป็นเรื่องการตีความ ในขณะที่วรรค 2 เป็นเรื่องของการอุดช่องว่างของกฎหมาย ทั้งนี้ต้องแยกให้ได้ว่ามีความแตกต่างกัน
“ในมาตรา 4 มี 2 ส่วน ซึ่งเมื่อไปตรวจสอบดูคำวินิจฉัยของศาลนั้นต้องดูว่าเคยมีการสร้างกฎหมายทั่วไปขึ้นมานอกจากจะดูว่ากฎหมายเขียนอย่างไรแล้วตีความตามตัวอักษรและเจตนารมณ์หรือไม่ ทั้งนี้ เพราะการอุดช่องว่างของกฎหมายนั้น ศาลต้องแก้ปัญหาให้ได้ ในกรณีที่ไม่มีตัวบทกฎหมาย ซึ่งจริงๆแล้วกฎหมายมหาชนต้องอุดช่องว่างด้วยหลักกฎหมายทั่วไป ฉะนั้นจึงต้องสร้างกฎหมายทั่วไปขึ้นมาให้ได้ ต้องอุดช่องว่างด้วยเหตุด้วยผลและจุดมุ่งหมายของกฎหมายมหาชน คือสร้างผลประโยชน์ให้แก่ประโยชน์สาธารณะ” ศ.ดร.อมร กล่าว และว่า จุดอ่อนของตุลาการแสดงออกให้เห็นได้จากคำวินิจฉัย ซึ่งเมื่อเรารู้ว่าคำวินิจฉัยของศาลอยู่ในสภาพไม่ควร และไม่สามารถแก้ปัญหาหรือสร้างความศรัทธาได้เท่าที่เราหวังหรือที่ควรจะเป็น สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะยกระดับขึ้นมาได้
โดยการยกระดับคำวินิจฉัยนั้น ศ.ดร.อมร กล่าวว่า ต้องพิจารณาจาก 3 เหตุ คือ 1.คุณภาพหรือคุณสมบัติของผู้พิพากษาในการคัดเลือกตุลาการ 2. วิธีพิจารณาของศาลซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ต้องดูว่ากระบวนการพิจารณานั้นทำให้เกิดการวินิจฉัยที่ดีหรือไม่ 3.หน่วยธุรการในกรตรวจสอบคุณภาพของคำวินิจฉัย ว่าอยู่ในสภาพที่ควรจะเป็นหรือไม่
“ในการคัดเลือกตุลาการ จะเห็นว่าวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ซึ่งเมื่อไปถึงวุฒิสภาแล้ว ผู้ที่จะสมัครเป็นตุลาการแสดงวิสัยทัศน์ คือการแสดงว่าข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในความจริงแล้วควรที่จะต้องดูผลงานย้อนหลังในอดีตมากกว่า เพราะการเขียนเรียงความไปข้างหน้าใครก็สามารถทำได้ สะท้อนให้เห็นว่าแค่การคัดเลือกตุลาการเรายังไม่มองไม่เห็นวิธีการที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ใน ส่วนของ วิธีพิจารณา ควรมีการเขียนคำวิพากย์วิจารณ์หรือแก้เติมก่อนที่จะมีการนัดอ่านคำวินิจฉัย แม้ศาลจะถูกอย่างไรต้องให้เขียนก่อน วิธีการนี้จะช่วยสร้างความศรัทธาให้แก่ประชาชนได้”
ในส่วนของการตรวจสอบคุณภาพของคำวินิจฉัยของศาล ศ.ดร.อมร กล่าวว่า ตุลาการมีความอิสระในกรชี้ขาด แต่ไมได้มีอิสระในการไม่ถูกตรวจสอบ ทั้งนี้ต้องมีหน่วยธุรการมาตรวจสองว่าคำวินิจฉัยมีข้อเท็จจริงและครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งใน 3 หัวข้อนี้ ในกฎหมายไม่ได้เขียนไว้
“ในฐานะที่เป็นประธานศาลมีบทบาทมาก เพราะสามารถที่จะควบคุมได้ หากตัวกฎหมายบกพร่อง ท่านเองต้องริเริ่มสร้างระบบเพื่อปิดตัวช่องว่างหรือข้อบกพร่องของกฎหมายเหล่านี้ ซึ่งในระบบเผด็จการพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภาที่ศาลต้องเผชิญนั้น ศาลจะดำรงจะอยู่ได้หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่ที่คุณภาพของคำวินิจฉัย เพราะแม้จะมีกฎหมายอยู่แล้วแต่กฎหมายก็ยังมีข้อบกพร่อง ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับบทบาทของท่านประธานที่จะเสริมกฎระเบียบวิธีพิจารณา เพื่อเสริมคุณภาพคำวินิจฉัยให้สูงขึ้น"
