ต่างคนต่างสร้างคันกั้นน้ำ “ดร.เสรี” ห่วง เพิ่มความขัดแย้ง

อ.นิติศาสตร์ มธ. ชี้ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแบ่งสันปันส่วน-ชดเชยทดแทน เสนอเก็บภาษีน้ำท่วม ลดความรู้สึกเสียเปรียบ ด้านภาคประชาชน ระบุการแลกเปลี่ยนข้อมูล-ความรู้ช่วยป้องกันความขัดแย้ง
วันที่ 19 เมษายน สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม จัดงานสัมมนาทางวิชาการว่าด้วยการระงับข้อพิพาททางเลือก ครั้งที่ 4 เรื่อง “วิกฤติธรรมชาติกับการจัดการความขัดแย้งทางสังคม : บทเรียนและการจัดการ” ในงานวันสถาปนาศาลยุติธรรม ครบรอบ 130 ปี “ศาลยุติธรรมเพื่อประชาชน” ระหว่างวันที่ 18-20 เมษายน โดยมี รศ.ดร. เสรี ศุภทราทิตย์ ผู้อำนายการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิภาคและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อบริการจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายมนัส กำเนิดมณี ผู้อำนายการสำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมชลประทาน และ นางสาวสมลักษณ์ หุตาณุวัตร อาสาฝ่าน้ำท่วมภาคประชาชน ร่วมอภิปราย
ดร.เสรี จี้รัฐเป็นเจ้าภาพ เปิดเวทีพูดคุยระหว่างพื้นที่
รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงวิกฤติธรรมชาติกับการจัดการความขัดแย้งทางสังคม ขณะนี้ควรต้องมีการพูดคุยกันระหว่างพื้นที่ก่อนที่จะเกิดเหตุ ซึ่งตามกฎหมายก็ต้องระบุให้มีการทำการบ้านก่อน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าก่อน โดยปีนี้มีความกังวลว่า ความขัดแย้งจะรุนแรงขึ้น เห็นได้จากกรณีที่ทางนิคมอุตสาหกรรมแต่ละแห่งมีการป้องกันตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“จากที่ได้มีโอกาสไปร่วมพูดคุยคนอินทร์บุรี จ.พระนครศรีอยุธยา พบว่าในตอนที่ชาวบ้านยอมให้สร้างกำแพงนั้น เนื่องจากข้อมูลที่ส่งมาถึงชาวบ้านนั้นสวยหรู ว่าชาวบ้านจะได้รับการปกป้อง กำหนดชดเชยให้ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ต่างจากการอยู่ในคุก ชาวบ้านจึงไม่ยินยอม แต่ทั้งนี้ก็ได้มีการก่อสร้างไปแล้วและจะมีการทำเช่นนี้อีกใน จ.อ่างทอง และชัยนาท ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นต่างคนต่างทำ ในที่สุดกรุงเทพฯ เองก็ต้องยกคันขึ้นอีก ที่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ก็เนื่องจากว่า เราไม่มีเจ้าภาพที่จะเรียกมาคุยมารับรู้ร่วมกัน แม้แต่ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดก็ยังไม่เคยมีการคุยกัน มีเพียงแค่ภาคประชาชนที่มีการคุยกัน แต่ก็พบว่า ยังอ่อนแออยู่”
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า เราต้องกระตุ้นรัฐบาลให้เป็นเจ้าภาพในการพูดคุยร่วมกัน เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลบอกทุกครั้งว่าต้องดูตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทำได้เพียงแค่บอก ในขณะที่ก็ยังไม่ได้คิดว่าหากมีการสร้างคันแล้วจะแก้ไขอย่างไร สร้างระดับใดจึงจะเหมาะสม
" ที่ผ่านมาการสื่อสารข้อมูลความเสี่ยงไม่ได้ลงไปถึงพื้นที่อย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนไม่ทราบความเสี่ยงของตนเอง ทั้งๆ ที่ชาวบ้านก็รอคำตอบว่าน้ำจะไปไหน แล้วจะมามากเท่าไหร่ มีระดับสูงแค่ไหน ผมเชื่อว่า หากประชาชนไม่เกิดความกังวลจะไม่ต่างคนต่างกั้นเช่นที่พบเห็นกันทุกวันนี้ ฉะนั้น รัฐบาลต้องประเมินประสิทธิผล ถ้าประเมินแล้วเราจะบอกได้ว่าเราจำเป็นหรือไม่ต้องทำ" กรรมการ กยน. กล่าว และว่า รัฐบาลควรมีเจ้าภาพในการประเมินการทำงานของทุกภาคส่วน เพระว่าแต่ละส่วนไม่รู้ตัวว่า หากไม่มีการป้องกันแล้วจะเกิดความเสี่ยง ซึ่งรัฐเองก็ต้องมีการบอกกล่าวข้อมูลส่งออกไปด้วย
อ.คณะนิติศาสตร์ มธ. ชี้ เสนอเก็บภาษีน้ำท่วม
ขณะที่ ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า วิกฤติธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์หรือภูมิอากาศ ซึ่งเราไม่ได้ขาดความรู้ แต่ขาดการสื่อสารอย่างมีความรู้มากกว่า ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ข้อขัดแย้งเบาบางลงได้ คือ ต้องทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมาใหม่ว่า ปีนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งให้ความหวังกับประชาชน อย่างน้อยก็ยอมรับความเสียหายในการเกิดขึ้นในครั้งนี้ไว้กับตนเอง แล้วหวังว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีกได้
"สิ่งที่รัฐบาลต้องคิด คือ การเก็บภาษีน้ำท่วม ในพื้นที่ที่ไม่เกิดน้ำท่วม หรืออยู่ในแผนที่จะไม่ท่วม ไม่เช่นนั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เนื่องจากผู้ที่เสียหายก็จะรู้สึกว่าเสียเปรียบอยู่เสมอ"
อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. กล่าวถึงความขัดแย้งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรู้สึกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งมี 2 ส่วน คือ 1.ในการแบ่งสันปันส่วน ซึ่งต้องอาศัยเหตุผลและการทำความเข้าใจ และ 2.ความยุติธรรมในการชดเชยและทดแทน นั่นคือ เมื่อมีการแบ่งสันปันส่วนแล้ว ในส่วนที่ไม่ได้ก็ต้องได้รับการชดเชยและทดแทน โดยต้องเข้าใจได้ มีเหตุผลและรับฟังได้ แต่ทั้งนี้ความขัดแย้งที่เราเห็นนั้น คือว่า ทั้งการแบ่งสันและการชดเชยนั้นไม่เป็นธรรม ซึ่งวิธีแก้ไขก็ต้องแก้กันที่โครงสร้างส่วนกลาง และต้องมีการบูรณาการความเข้าใจเรื่องที่ต้องจัดการกับหน่วยงานอื่นๆด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
กรมชลประทานแนะต้องพัฒนา องค์ความรู้และข้อมูล
ด้านนายมนัส กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภาวะวิกฤตที่ผ่านมา มีขึ้นตั้งแต่ระดับสูงสุดในส่วนของผู้บริหารประเทศ โดยที่เห็นได้ชัดความขัดแย้งของพรรคการเมือง เช่น มีการแบ่งเขตการปกครองของพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลต่อกลไกกาจัดการในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะในส่วนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ข้อมูลมีความขัดแย้งกันเอง แสดงให้เห็นถึงความไม่มีเอกภาพในการจัดการ
“ฉะนั้นเรื่ององค์ความรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ผ่านมาเราไม่มั่นใจในองค์ความรู้ในประเทศจึงต้องพึ่งจากต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่รู้จักภูมิประเทศของประเทศได้ดีเท่ากับเจ้าหน้ารัฐของไทย ทำให้เสียเวลาในการจัดการ ขณะเดียวกันระบบราชการ ความอ่อนแอทางวิชาการมีมาก นอกจากนี้ ก็ยังมีความขัดแย้งในระดับของประชาชนเอง เช่น ประตูระบายน้ำต่างๆ ทางกรมชลประทานมีการวางแผนการเปิด-ปิดไว้แล้ว แต่ในขณะนั้นไม่สามารถทำตามที่วางแผนได้” นายมนัส กล่าว และว่า เราไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของประชาชน เนื่องจากประชาชนเองก็ต้องเอาตัวรอด แต่ต้องโทษข้อมูลที่จะส่งไปถึงประชาชนมากกว่า เพราะเมื่อข้อมูลไม่ตรงกันก็สามารถสร้างความขัดแย้งได้
นายมนัส กล่าวถึงสิ่งที่คาดว่าต้องพัฒนาและดำเนินการต่อไป มี 2 เรื่อง คือองค์ความรู้และข้อมูล ซึ่งเชื่อได้ว่าในประเทศไทยนั้นมีคนรู้ มีองค์ความรู้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดการที่ให้ความรู้นั้นให้เกิดประโยชน์ ซึ่งวันนี้การจัดการในภาครัฐเอง ปัจจุบันได้ตั้งให้ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. เป็นศูนย์รวม ฉะนั้นหาก กบอ. หาคนที่มีความรู้ไปทำงาน ให้ตรงกับโจทย์ ปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทยก็สามารถแก้ได้
ภาคปชช. เปิด 11 ปัญหารากเหง้าความขัดแย้ง
นางสาวสมลักษณ์ กล่าวถึงความขัดแย้งในท่ามกลางภัยพิบัติ มีรากเหง้าที่สลับซับซ้อน ด้วยโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ที่มีสายใยผูกโยงกันยาวไกล จนยากที่จะหาปมหยุดได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า โครงสร้างอำนาจปัจจุบันเอื้อให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย
“กลไกรัฐช่วยทำให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีผู้ประกอบการจำนวนน้อย ได้รับประโยชน์จากรัฐมากแม้กระทั่งชาวต่างชาติ นอกจากนี้คณะบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้งให้แก้ปัญหาภัยพิบัติของชาติ มีเพียงตัวแทนของคนบางกลุ่ม ประชาชนอีกหลายภาคส่วนโดยเฉพาะเกษตรกรขาดโอกาสที่จะมีบทบาทในการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาเพื่ออนาคตตนเอง”
ทั้งนี้ นางสาวสมลักษณ์ กล่าวถึงรากเหง้าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น 11 ข้อ ได้แก่ 1.บทบาทที่ซับซ้อนของบุคคลและหน่วยงาน 2.ผลประโยชน์พลังงาน 3.การมุ่งปกป้องภาคอุตสาหกรรมมากกว่าภาคเกษตร 4.การแก้ปัญหามุ่งงานก่อสร้าง 5.ไม่ทบทวนโครงการก่อนสร้างถนน 6. รัฐสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมสร้างกำแพงสูง 7.ทุนต่างชาติเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินไทย 8.การเสียพื้นที่รับน้ำสาธารณะทั้งที่ดินและถนน คูคลอง 9.การสูญเสียทรัพย์สิน-ที่ดินผู้ไม่สามารถชำระหนี้ และ 10.กฎหมายที่ผู้รับสัมปทานได้ประโยชน์ 11. การออกเอกสารสิทธิ์บนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม
“บทเรียนการป้องกันความขัดแย้ง คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ เป็นการสร้างความเข้าใจขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้เกิดการยอมรับความจริงในการอยู่ร่วมกันของวิถีชีวิตที่แตกต่าง เพื่อเคารพคุณค่าของความเท่าเทียมในสังคม โดยอาศัยหลักฉันทามติแห่งความยุติธรรมทางสังคมด้วยการคุยกันอย่างจริงใจ เพื่อช่วยพยุงมิให้วิกฤติที่เกิดขึ้นเลวร้ายลงไป”
นอกจากนี้ นางสาวสมลักษณ์ ได้มีข้อเสนอการป้องกันข้อพิพาทหรือความขัดแย้ง ได้แก่
1.แก้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์คนบางกลุ่มให้เกิดความเป็นธรรม
2.หยุดการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรรายย่อย SME และคนไทย
3.ยกระดับกฎหมายเพื่อเกื้อกูลผู้อ่อนด้อยให้ได้รับการคุ้มครอง
4.กำหนดให้ต้องทำประชาพิจารณ์และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการสร้างเส้นทางคมนาคม สร้างกำแพงสูง หรือสิ่งกีดขวางทางน้ำหลาก ก่อนการจัดทำผังเมือง และก่อนการประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรมต้องทำประชาพิจารณ์ก่อนเสมอ
5.มิให้ออกเอกสารสิทธิ์บนพื้นที่ป่านเสื่อมโทรมและต้องปลูกป่าทดแทน
6.ใช้ฉันทามติในการตัดสินความขัดแย้ง แม้จะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า ไม่ควรใช้ประชามติ อันเป็นวิธีการที่มิได้คุ้มครองคนส่วนน้อยที่เสียเปรียบ
7.เปลี่ยนระบบตุลาการไทยให้เป็นระบบไต่ส่วนทั้งหมด เพื่อให้ความเป็นธรรมไม่ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจเงิน เพราการชนะคดีด้วยเอกสารที่เหนือกว่าอาจทำให้ความจริงถูกบิดเบือนได้ง่าย ในบรรยากาศสังคมไทยเช่นนี้ ระบบไต่ส่วนน่าจะนำความเที่ยงธรรมสู่คนยากจนในสังคมได้ดีกว่า
8.แม้จะกล่าวว่าประชาชนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย แต่ในท่ามกลางระบบการศึกษาปัจจุบันทำให้คนจำนวนมากสูญเสียทรัพย์เพราะไม่รู้กฎหมาย จึงจำเป็นต้องกำหนดให้ผู้นำปกครองท้องถิ่นต้องรับผิดชอบความไม่รู้กฎหมายของประชาชนในปกครอง และมหาวิทยาลัยทุกแห่งจะต้องเปิดสอนกฎหมายแก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า หากปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันสักสิบปี ความขัดแย้งจากความไม่รู้กฎหมายน่าจะหายไปจากสังคมไทย
