คดีทุจริตยาซูโดฯ มากกว่าแค่ยาหาย “วิทยา” เชื่อเป็นการใส่ร้ายทางอาญา

อนุฯ พิจารณาปัญหาสารซูโดฯ เรียกชี้แจงรอบ 2 เภสัชกร รพ.กมลาไสย เผยไม่เคยพบ "เอกสารสำคัญ" ด้านผู้ผลิตฯ ชี้ช่องโหว่อยู่ที่ รพ. ด้าน "วิทยา แก้วภราดัย" จี้เร่งหาต้นตอคนใส่ร้ายให้เจอ
วันที่ 18 เมษายน คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาปัญหาสารซูโดอีเฟดรีน ในคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร นัดประชุม ณ ห้องประชุมชั้น1 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา โดยมีนายวิทยา แก้วภราดัย ในฐานะคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนฯ และอดีตรมว.สาธารณสุข นั่งหัวโต๊ะ เชิญ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานคณะทำงานป้องกันและปราบปรามฟื้นฟู และเยียวยาด้านยาเสพติด, เจ้าพนักงานเภสัชกร ผู้ปฏิบัติงาน รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ และบริษัทผู้ผลิตยาสูตรเดี่ยว 4 บริษัท มาชี้แจงกรณียาซูโดอีเฟดรีน ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด หายออกจากระบบโรงพยาบาล เพื่อรายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร
นายพสิษฐ์ กล่าวในที่ประชุมว่า คณะทำงานป้องกันปราบปรามและฟื้นฟูเยียวยาด้านยาเสพติด ทำหน้าที่กำกับดูแลสารซูโดอีเฟรดีนและสารตัวอื่นๆ ที่เป็นปัญหาหรืออาจก่อให้เกิดปัญหา ตลอดจนแนวทางแก้ไขและป้องกัน ซึ่งในกรณีของโรงพยาบาลกมลาไสย พบว่า จำนวนยาที่โรงพยาบาลแจ้งไป คือ 40,000 เม็ด ซึ่งไม่ตรงกับจำนวนที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีอยู่จำนวน 500,000 เม็ด มีความแตกต่างอย่างมาก จึงลงไปตรวจโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และพบ "เอกสารสำคัญ" ที่ระบุโยงใยตามที่ได้ให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ โดยที่คณะทำงานฯ ของตนเป็นผู้พบเอกสารฉบับนี้ และมีการโทรแจ้งให้ตนทราบ ส่วนที่นอกเหนือจากนี้ไม่ขอให้ข้อมูล เพราะไม่ต้องการก้าวล่วงการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่กำลังพิจารณาประเด็นดังกล่าวอยู่
ขณะที่ เจ้าพนักงานเภสัชกร รพ.กมลาไสย กล่าวกับผู้สื่อข่าว ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ สำนักข่าวอิศรา เพียงสั้นๆ โดยยืนยันว่า ไม่เคยพบเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวที่พูดกันอยู่ในขณะนี้ว่า มีอยู่ และเมื่อพิจารณาลายมือในเอกสารแล้วก็ไม่คุ้นเคย อีกทั้ง ไม่ทราบว่าทางคณะทำงานฯ ที่เข้าไปตรวจสอบได้พบเอกสารในช่วงไหน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า เริ่มมีอะไรที่มากกว่าแค่ยาซูโดอีเฟรดีนหายแล้ว
ด้านตัวแทนบริษัทผลิตยาสูตรเดี่ยวบริษัทหนึ่ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงความบกพร่องหรือช่องโหว่ที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากส่วนสุดท้ายของการดำเนินการ คือ ผู้ปฏิบัติ เช่น โรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีปัญหาเรื่องการนำยาไปใช้ โดยได้ตั้งคำถามว่า เก็บสารซูโดอีเฟดรีนไว้ทำไมมากมาย
"อยากให้การพิจารณามองให้รอบด้าน เพราะระบบระเบียบขั้นตอนของบริษัทผู้ผลิตยาถูกควบคุมกำกับไว้ทุกขั้นตอนตั้งแต่รับสารซูโดฯมาแล้ว บริษัทต้องเตรียมการผลิตให้โปร่งใสพร้อมการตรวจสอบที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า คงยากที่จะเกิดช่องโหว่"
ส่วนนายวิทยา กล่าวภายหลังการประชุมว่า คณะอนุกรรมาธิการฯ ประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ได้ข้อมูลดิบเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ยังสรุปผลไม่ได้ และในวันพุธที่ 25 เมษายนนี้ จะนัดประชุมอีกครั้ง โดยจะเชิญปลัดกระทรวงสาธารณสุขมาร่วมประชุมด้วย
นายวิทยา กล่าวต่อว่า เมื่อการประชุมครั้งแรก ได้เชิญผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสย และผู้กำกับโรงพักสันกำแพงมา จึงได้ข้อมูลเกี่ยวกล่องซองยาที่ อ.สันกำแพง ซึ่งก็ขยายผลไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนที่โรงพยาบาลกมลาไสย สืบเนื่องมาจากเพราะเป็นเรื่องที่นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแถลงข่าวว่า เจอเอกสารสำคัญที่มีส่วนพัวพันกับอดีตรัฐมนตรีหรือนักการเมืองผู้ใหญ่ รวมทั้งมีการพาดพิงเฉียดๆ มาที่ตนหลายครั้ง
"คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้รับอีเมล์สำเนา "เอกสาร" จากคนในวงการสาธารณสุข ที่ก็ส่งไปยังกองบรรณาการหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ยิ่งพอเห็นชื่อว่าเป็นนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรียิ่งน่าสนใจ แต่เมื่อซักถามจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็พบว่า ไม่ได้เป็นคนเจอเอกสารดังกล่าวนี้ คณะของนายพสิษฐ์เป็นผู้ไปพบแล้วส่งให้ ผู้อำนวยการฯ เซ็นชื่อรับรอง"
นายวิทยา กล่าวต่อว่า เอกสารฉบับดังกล่าว พบเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2555 โดยระบุถึงบุคคล 4-5 คน เป็นบุคคลที่ใหญ่กว่ากว่ารัฐมนตรี เภสัชกรที่จังหวัดอุดรธานี และในจำนวนนั้นมีชื่อผู้ช่วยของตนอยู่ด้วย ส่วนคนอื่นๆ ตนจะลองโทรตามเบอร์ที่ระบุไว้
"มีการพยายามเล่นกันมากว่าเอกสารฉบับนี้สำคัญมาก อธิบดีดีเอสไอก็เช่นกัน อ่านดูแล้ววเหมือนกับว่า ผมไปกินเงินแบ่งหัวคิวกับเขาด้วย ทั้งที่กินเงินปี 2555 แต่ผมออกจากการเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2552 ผมคงไม่ได้แสดงอิทธิพลยาวนานถึง 3 ปี ทั้งนี้ เป็นการแบ่งหัวคิวในคดียาเสพติด ซึ่งเป็นพฤติกรรมชั่วร้ายที่สุดของคนที่ทำเอกสารนี้ และผมต้องหาให้เจอ"
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ดีเอสไอไม่ได้มีหน้าที่สืบว่า ใครอยู่ในเอกสารนั้นบ้าง แต่ต้องตอบให้ได้ว่า ใครทำเอกสารนี้ขึ้นมา เพราะเป็นกระบวนการใส่ร้ายในทางอาญา ซึ่งผู้ที่มีชื่ออยู่ในนั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญาและเป็นที่น่าสงสัยว่า คนใดคนหนึ่งในคณะที่ไปกับที่ปรึกษารัฐมนตรีได้ร่วมกันทำและต้องรับผิดชอบ ตนจะตามให้เจอให้หมด
"ขบวนการยาเสพติดต้องตามให้ดี โดยเฉพาะที่สันกำแพง ตามให้ดีว่าใครอยู่ที่นั่น ใครใหญ่ที่สุดในสันกำแพง ใครนั่งค้ำบารมีพวกฉีกซองยาอยู่ เพราะขณะนี้ยาเสพติดทั้งหลายไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่ลักขโมยผลิตกันที่นี่แล้ว อยู่ที่ว่าเป็นยาเสพติดที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะกระบวนการของระบบมันรั่วไหลไปหมดแล้ว"
นายวิทยา กล่าวถึงการแก้ปัญหาดังกล่าวว่า ต้องรื้อระบบยาใหม่ทั้งหมด เรื่องนี้ไม่ได้บกพร่องที่ตัวบุคคล แต่บกพร่องที่ระบบ ยาซูโดอีเฟรดีนเป็นยาต้องห้าม ตามระเบียบตั้งแต่ปี 2531 ที่ อย.เริ่มเคลื่อนไหวให้กฤษฎีกาตีความให้ถอดออก เนื่องจากสามารถนำไปสกัดเป็นสารตั้งต้นได้แล้ว แต่เมื่อไปผสมกับสารตัวอื่นก็กลายเป็นอนุญาตให้ขายได้ เพราะเราผ่อนปรน ทั้งที่ทุกวันนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถนำเม็ดยาไปละลายแล้วคืนกลับมาเป็นสารตั้งต้นตัวเดิมได้แล้ว ต่อจากนี้คงต้องเรียกเอกสารทุกบริษัทยาทั้งหมดมาดู รวมทั้งบริษัทที่ผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ที่คงต้องเชิญกรมศุลกากรมา
"คณะอนุกรรมาธิการฯ ยังต้องสืบค้นและติดตามเรื่องนี้ต่อไป โดยอาจจะทำให้เจอประเด็นอื่นๆ ในกระทรวงสาธารณสุข เพราะกระทรวงนี้ชอบทำอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามคงไม่อยากให้เรื่องนี้มันเป็นกระแสมากนัก เพราะอาจจะไปกลบรอยอย่างอื่นที่กำลังพยายามกระทำการบางอย่างขึ้น"
