ภาคีฯ ต้านคอร์รัปชั่น ทวงถามรบ. เปิดข้อมูลงบ 1.2 แสนล.ป้องกันน้ำท่วม

ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น จี้รบ. เปิดเผยรายละเอียดใช้งบป้องน้ำท่วม 1.2 แสนล้าน ชี้เว็บไซต์เผยแพร่ข้อมูลภาครัฐไม่เอื้อประโยชน์ปชช. พร้อมกำหนด 6 ก.ย.ของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชั่น
วันที่ 19 เมษายน ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น จัดแถลงความคืบหน้าการทำงานและผลการประชุมกรรมการภาคีฯ ครั้งที่ 2/2555 ณ ห้องประชุมหอการค้าไทย ( 3201) อาคารบรรเจิด ชลวิจารณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ โดยมีนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายฯ นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลอดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในฐานะที่ปรึกษาภาคีฯ นายวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นางสมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางรพี สุจริตกุล กรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ในฐานะกรรมการภาคีฯ และนายวิชัย อัศรัสกร เลขาธิการหอการค้าไทย เลขาภาคีฯ ร่วมแถลง
นายประมนต์ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายฯ ติดตามโครงการป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งใช้งบประมาณปีนี้กว่า 120,000 ล้านบาท ซึ่งสิ่งที่ภาคีเครือข่ายฯ เรียกร้องเสมอมา แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง คือ การเปิดเผยข้อมูล รายละเอียดการใช้งบประมาณของภาครัฐต่อสาธารณชน เพราะแม้ภาครัฐจะจัดทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อนเผยแพร่ แต่ก็เหมือนเป็นเว็บไซต์ภายใน ไม่สะดวกเพียงพอต่อประชาชน ต้องมีการใส่รหัสผ่าน และไม่พบรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ที่จะสามารถใช้ในการตรวจสอบงบประมาณต่างๆ ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ความโปร่งใสและจริงใจในเรื่องนี้จึงยังไม่เกิดขึ้น
"สิ่งที่สอดคล้องกับการเผยแพร่ข้อมูลของภาครัฐ คือ มีกำหนดเวลาสำหรับภาคเอกชนที่ทำงานกับภาครัฐต้องทำต้องทำบัญชีส่งกรมสรรพากรในส่วนรับงานจากภาครัฐ ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นกฎหมายเดียวกันที่ขอให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูล ภาคเอกชนกำลังปฏิบัติ แต่ภาครัฐเองในการเปิดเผยข้อมูลยังไม่ได้ปฏิบัติ"
ในส่วนความคืบหน้าโครงการ Collective Action ที่เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชน นายประมนต์ กล่าวว่า หากสามารถจัดกระบวนการที่ทำงานร่วมกับภาครัฐ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างประเภทต่างๆ ให้มีความเป็นธรรม เกิดขึ้นได้ เพื่อไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่นขึ้น ซึ่งโครงการนี้ทาง ป.ป.ช. มีคววามเห็นร่วมว่า อยากให้มีการตั้งเป็นหน่วยงานที่สามารถร่วมมือ ตรวจสอบกันเอง ทางภาคีเครือข่ายฯ ได้มีข้อเสนอไปยัง ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ไม่มีการกลั่นแกล้ง และทาง ป.ป.ช. กำลังทำเอกสารนำเสนอต่อรัฐบาล
"กระบวนการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสนี้ จะมีโครงการ "ฮั้วกันไม่จ่าย" ที่ภาคเอกชนจะร่วมกันจัดระเบียบเงื่อนไข ใบอนุญาต โดยเฉพาะการขอใบอนุญาตก่อสร้างที่มีความล่าช้า และจะปรึกษากับภาครัฐในการลดขั้นตอน เพื่อความสะดวก ลดการฮั้ว โดยเสนอให้มอบหมายงานบางส่วนที่ภาครัฐทำอยู่ โดยไม่มีความจำเป็นให้ภาคส่วนอื่นหรือเอกชนทำแทน เช่น พาสปอร์ต การตรวจสภาพรถยนต์ การทำบัตรประชาชน และอื่นๆ ที่กำลังศึกษาอยู่"
สำหรับโครงการอบรม หมาเฝ้าบ้าน ซึ่งได้จัดอบรมรุ่นที่ 1 ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 200 คนนั้น นายประมนต์ กล่าวว่า จะจัดอบรมเข้มข้นอีกครั้งโดยกลั่นกรองกลุ่มเดิมให้เหลือ 30 คน มาอบรมเกี่ยวกับการใช้ Social Media
"จะสร้างการเฝ้าระวังการทุจริตต่อต้านคอร์รัปชั่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ โดยจะจัดการอบรมการใช้เครื่องมือ และวิธีการในการถ่ายภาพที่สามารถติดตามพิกัดได้ และอบรมข้อมูลพื้นฐาน เทคนิคการส่งข่าวสารที่กระชับได้ใจความ โดยวิทยากรจากสำนักข่าวอิศรา ในวันที่ 12-13 พฤษภาคมนี้ และภายหลังจากนั้นจะจัดสรรผู้อบรมไปตามพื้นที่และความชำนาญงาน เพื่อสังเกตการณ์และเก็บข้อมูล โดยจะมีกลุ่มผู้ชำนาญการพิเศษเข้าไปร่วมด้วย"
ประธานภาคีเครือข่ายฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ ได้มีมติกำหนดให้วันที่ 6 กันยายน ของทุกปีเป็น "วันต่อต้านคอร์รัปชั่น" ซึ่งเป็นวันเสียชีวิตของคุณดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานกรรมการหอการค้าไทย ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น และจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ทุกปี สำหรับปีนี้จะแจ้งให้ทราบต่อไป
ขณะที่นายสมพล กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายฯ มีความกังวลเพียงอย่างเดียว คือ ได้ขอความร่วมมือจากรัฐบาลไปหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองให้สามารถดำเนินการต่อเพื่อประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูล การตรวจสอบยังมีความอ่อนแอ เป็นจุดที่ทำให้ผู้ทุจริตยังฮึกเหิม ไม่มีบทลงโทษ
"ผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายประเทศหากกระทำผิดจะได้รับบทลงโทษอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นหลัง นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องหาทางก้าวไปสู่จุดนี้ให้ได้"
รศ.ดร.เสาวณีย์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจทัศนะของประชาชนต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น จำนวน 1,200 ตัวอย่าง ที่จัดทำโดย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในเดือนเมษายน พบว่า ปัญหาการคอร์รัปชั่นของประเทศมีมากขึ้น 75.9 % มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีสัดส่วน 74.9% และในขณะเดียวกันส่วนใหญ่ 38.6% เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงจังน้อยมากในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งส่วนใหญ่ร้อยละ 64.4% เห็นว่าถ้าไม่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจังจะทำให้ปัญหาการคอร์รัปชั่นของประเทศไทยใน 1 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยังเห็นว่าปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศไทยสามารถที่จะแก้ไขได้ในระดับปานกลาง และต้องการให้รัฐบาลเป็นคนเริ่มก่อนในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ร้อยละ 33.8% เห็นว่า เริ่มไปพร้อมกัน 26.9% ภาคเอกชนควรเป็นคนเริ่มก่อน 23.2% หน่วยงานราชการควรเป็นคนเริ่มก่อน15.6% และประชาชนควรเป็นคนเริ่ม 0.5% ซึ่งกว่า 51.3% คิดว่าหากรัฐบาลใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ จะสามารถแก้ไขปัญหาได้
โดยการดำเนินการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้นั้น ความเห็นส่วนใหญ่ ระบุว่า ควรให้บุคคลภายนอกร่วมดำเนินการตรวจสอบทุจริต และออกมาตรการ "ลดละเลิกคอร์รัปชั่น" ที่บังคับใช้จริงจังและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ควรมีระบบประจารณ์ผู้ที่มีพฤติกรรมการทุจริต และสร้างหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องปัญหาคอร์รัปชั่นตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา
