คอป. เผยผลวิจัยความขัดแย้งในอนาคต ขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมือง

คอป.เผยผลวิจัยชุดปัญหารากเหง้าความขัดแย้ง-แนวทางสู่ความปรองดอง ชี้โครงสร้างศก.ปลี่ยน กลุ่มคนเปลี่ยน ผุด 'ชนชั้นกลาง' ในชนบท แนะแก้ปัญหาระยะยาวทำอย่างไรการเมือง กระจายผลประโยชน์ไปสู่คนส่วนมากให้ได้
วันที่ 25 เมษายน ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าคณะวิจัยนำเสนอผลงาน “โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม” ซึ่งเป็นงานวิจัย 1 ใน 5 ชุดโครงการเผยแพร่ความรู้ “ปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง” จัดทำโดยคณะอนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการ ในคณะกรรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
ศ.ดร.ธเนศ กล่าวถึงวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนความรู้สึกที่ทำให้รับรู้ว่า โครงสร้างอำนาจที่มีมายาวนานเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับ แม้จุดนี้จะไม่ใช้มูลเหตุโดยตรงของวิกฤตต่างๆ เนื่องจากวิกฤตอาจเป็นเรื่องของปัญหาการเมือง เรื่องเฉพาะหน้าอย่างรัฐธรรมนูญ แต่ในภาพรวมพบว่า ปัญหาได้หมักหมมจนนำไปสู่ความรู้สึกใหม่ๆ ที่ต่อต้านระบอบหรือการดำรงอยู่ของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจของกลุ่มคน สถาบัน ชนชั้น
“ขณะที่การใช้อำนาจนั้นพบว่า มีโครงสร้างอำนาจ 3 ประเภทคือ โครงสร้างอำนาจทางด้านการเมือง อำนาจทางด้านเศรษฐกิจ และอำนาจทางอุดมการณ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นความสัมพันธ์ทางตรงที่นำไปสู่การใช้หรือไม่ใช้อำนาจ อย่างไรก็ตามข้อสรุปพบว่า โครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจมีบทบาทสูงมากต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้สึก”
การกระจุกตัวด้านทุน-การเมือง
ด้าน รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำของไทยว่า ในปี 2523 กลุ่มทุนขนาดใหญ่ 4 ตระกูลมีทรัพย์สินรวมกัน 2.4 แสนล้านบาทหรือเท่ากับ 56% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งหากรวมกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะมีทรัพย์สินมากกว่า 60% ของสินทรัพย์ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวทางด้านทุนและการเมืองอย่างมโหฬาร
“ต่อมาภายหลังปี 2540 กลุ่มทุนเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ การสื่อสาร คมนาคม และบริการมีความสำคัญเพิ่มขึ้นสูงมากในเศรษฐกิจไทย การกระจุกตัวของมูลค่าถือหุ้นของ 10 ตระกูลใหญ่เพิ่มขึ้น 3 เท่าในรอบ 6 ปี มูลค่าหุ้นเพิ่มจาก 4.4 หมื่นล้านบาทในปี 2541 เป็น 1.22 แสนล้านบาทในปี 2547 ขณะที่ 10 ตระกูลแรกที่มีสัดส่วนผู้ถือครองหุ้นอยู่ในระดับสูง ได้แก่ ตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ โพธารามิก มาลีนนท์ ซึ่งตระกูลเหล่านี้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ”
รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าวต่อว่า กลุ่มทุนสูงมักมีสายสัมพันธ์กับทางการเมือง ขณะที่กลุ่มทุนใหม่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะพรรคไทยรักไทยมีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศ เมื่อปี 2547 ธุรกิจขนาดใหญ่ 20% แรกมีสัดส่วนของรายได้ 81% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด และเพิ่มเป็น 86% ในปี 2551 ส่วนธุรกิจขนาดกลาง 60% มีรายได้ 13% เท่านั้น
“ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำติดอันดับโลก ไม่ว่าจะวัดด้วยสัมประสิทธิ์ตัวใดก็ตาม ผลการศึกษาล่าสุดจึงพบว่า 1 ใน 5 ของคนไทยที่รวยที่สุดมีรายได้รวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของประเทศ ส่วน 1 ใน 5 ของคนไทยที่จนที่สุดมีรายได้รวมกันเพียง 3.84% ของประเทศ ขณะที่คนส่วนใหญ่ 60% ของประเทศมีส่วนแบ่งเพียง 1 ใน 4 ของรายได้รวมของประเทศ ยิ่งหากมองในระดับย่อยลงไปจะพบว่า คนรายได้น้อยมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับ และอัตราค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มน้อยกว่า 1.01% ในขณะที่ GDP เติบโตกว่า 48% ซึ่งเป็นเรื่องกลับหัวกลับหางสำหรับประเทศไทย”
นักวิจัยชี้ ขณะนี้ไม่มีชนบทแล้ว
รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจชนบทและภูมิภาคด้วยว่า ในช่วง 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมากรุงเทพฯ ลดความสำคัญลงในทางเศรษฐกิจ เมืองในภาคกลางขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีสัดส่วนของ GDP ติดอันดับของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ อยุธยา ขณะเดียวกันยังเป็นพลวัตในการดึงดูดแรงงานจากทุกภูมิภาคของประเทศให้มากระจุกตัวในภาคกลาง ซึ่งเป็นสังคมเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
“ขณะที่พลวัตของภาคชนบท ปัจจุบันผลผลิตการเกษตรเท่ากับ 1 ใน 10 ของ GDP ประชากรมากกว่า 40% ยังคงอยู่ในชนบท แต่แบบแผนการผลิตทางการเกษตรได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เกิดการสะสมทุนในชนบท นำเทคโนโลยีมาใช้ การขยายตัวของฟาร์มธุรกิจ ร้านค้ารายย่อยต่างๆ ทำให้เกิดชนชั้นใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชนบท และเรียกร้องนโยบายสาธารณะ อาจเรียกได้ว่าขณะนี้ไม่มีชนบทแล้ว เพราะเมื่อเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ ก็ยากที่จะนิยามว่า หมู่บ้านนี้เป็นเกษตรหรือไม่ ประกอบกับการเติบโตของแรงงานเสรี ช่วยลดการครอบงำจากระบบอุปถัมภ์ เพราะประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่สามารถเกิดขี้นได้ในภาคเกษตร”
ทั้งนี้ รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของชนบทและภูมิภาคนั้น จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจ เครือข่ายและการต่อสู้ โดยสรุปคือ เมื่อสังคมเศรษฐกิจเปลี่ยน กลุ่มทุนหรือคนที่อยู่ในกระบวนการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป การต่อสู้ของทุนใหม่ก็จะมีเครือข่ายกับ ‘กลุ่มรากหญ้า’ และ ‘ประชาธิปไตยที่เน้นเลือกตั้ง’ เพื่อต่อสู้กับทุนเก่า คนชั้นกลางในเมือง ประชาธิปไตยแบบจำกัดขอบเขต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และกองทัพ
“โครงสร้างอำนาจ เครือข่ายและการต่อสู้ต่อจากนี้ไป จะเป็นการต่อสู้ในเชิงนโยบายระหว่างพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนฐานทางการเมืองพบว่ากรุงเทพมหานครและภาคใต้ยังคงสนับสนุนประชาธิปัตย์ ขณะที่ภาคเหนือกับภาคอีสานสนับสนุนพรรคเพื่อไทย”
ผู้วิจัย กล่าวว่า เมื่อโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจเปลี่ยน กลุ่มคน ชนชั้นได้เปลี่ยนตาม เรื่องนี้จึงมีนัยทางการเมือง เพราะ คนที่อยู่ในชนบท ซึ่งแต่เดิมเป็นชาวไร่ชาวนามีความรู้สึกนึกคิดมากขึ้น จนในที่สุดได้กลายเป็น ‘คนชั้นกลาง’ ที่มีความเป็นอิสระจากพันธนาการ โครงสร้างอำนาจและความเชื่อของชนชั้นสูง ชนชั้นนำแบบเก่า หรือติดยึดความเชื่อแบบคนชั้นล่างสมัยก่อน ซึ่งปลุกให้คนชนบทเข้ามามีบทบาทในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร ประชาธิปไตยครึ่งใบ จุดนี้ได้เชื่อมโยงไปถึงเรื่องโครงสร้างอำนาจทางอุดมการณ์ ความเป็นอิสระของตนเอง ความเชื่อในอุดมการณ์และเป้าหมายทางการเมืองที่ต้องการ โดยมีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งอย่างกว้าง ให้โอกาสแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากอุดมการณ์ของประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่เป็นความคิดเชิงอนุรักษ์ของคนชั้นนำ รัฐไทยแบบเก่า ที่เน้นความสามัคคี ความเป็นเอกภาพ รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยยึดโยงความเป็นเอกราช เอกภาพ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าความจงรักภักดี
ส่วนความขัดแย้งต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น คณะผู้วิจัยเชื่อว่า น้ำหนักอยู่ที่อำนาจทางการเมือง เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ แต่อำนาจทางการเมืองเป็นตัวกำหนดนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจนั้น เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมกับคนกลุ่มใด ฉะนั้น สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว จึงต้องเน้นการแก้โครงสร้างทางการเมือง ทำอย่างไรให้การเมืองกระจายผลประโยชน์ไปสู่คนส่วนมากให้ได้ โดยอาศัยการปกครองระบบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางตรงมากที่สุด
อ่านรายละเอียด เอกสารประกอบโครงการวิจัย "โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคมไทย" เพิ่มเติมคลิก
