ทีดีอาร์ไอ เผยอ.เศรษฐศาสตร์ทำวิจัย 1 ชิ้น/คน/ปี ชี้เหตุโครงสร้างการศึกษาไม่เอื้อ

“ปธ.ทีดีอาร์ไอ” ระบุไทยผลิตงานวิจัยน้อย เหตุนักวิจัยมีภาระงานมาก-ขาดแรงจูงใจ ส่วนผู้บริหารเล่นการเมือง ด้าน “ชัยวัฒน์” แนะทำวิจัยเปิดเผยความลับ-ความจริงในสังคมไทยที่ถูกซุกซ่อน
เมื่อเร็วๆ นี้ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวเสวนาหัวข้อ “สังคมไทยในอนาคต เราควรวิจัยเรื่องอะไร” ในงานประชุมสุดยอดมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติครั้งที่ 1 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ว่า การที่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าจะวิจัยอะไร ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะขณะนี้เงินไม่ใช่ปัญหาของการวิจัย เรามีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย แต่ปัญหาที่พบคือ อาจารย์จำนวนมากขาดความรู้เกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและโลก ทำให้สังคมต้องการคนที่มีความรู้สูง สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ได้ตลอดช่วงอายุ ซึ่งในเรื่องนี้กระทบต่อการเรียนการสอน การวิจัยทั่วโลก ไม่ใช่เรียนเอาปริญญาอย่างที่ประเทศไทยทำ
“ขณะเดียวกันสังคมไทยกำลังอยู่ในทางสามแพร่ง ภาวะขัดแย้งทางการเมืองทำให้อาจารย์ไม่กล้ามีอิสระทางความคิดแบบรับผิดชอบ วิจัยเรื่องใดก็เกรงว่าจะถูกป้ายสีให้เป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ การติดกับดักประเทศกำลังพัฒนา การต่อต้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เนื่องจากปัญหาคอร์รัปชั่น ความไม่ไว้วางใจนักการเมือง ทำให้นักวิชาการไม่มีโอกาสสร้างสรรค์ความรู้จากโครงการพัฒนาต่างๆ”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงผลงานวิจัยของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยยกตัวอย่างอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า มีผลงานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.33 เรื่องต่อคนต่อปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีผลงานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.38 เรื่องต่อปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 เรื่องต่อคนต่อปี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 0.85 เรื่องต่อคนต่อปี ซึ่งเมื่อรวมกับงานวิชาการทุกประเภทแล้ว เฉลี่ยอยู่แค่คนละ 1 ชิ้นต่อปี
และมีอาจารย์ไม่ถึง 50% ที่ทำวิจัยอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ เนื่องจากโครงสร้างการศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่เอื้ออำนวย อาจารย์มีเวลา 640 ชั่วโมงต่อภาค แต่มีภาระงานเท่ากับ 743 ชั่วโมง ทั้งสอนหนังสือ ตรวจข้อสอบ เป็นที่ปรึกษาต่างๆ เพราะมหาวิทยาลัยเน้นเปิดโครงการพิเศษเพื่อหารายได้ ส่วนผู้บริหารก็มีเป้าหมายอื่นที่สำคัญกว่าสร้างงานวิจัย
“แต่สิ่งสำคัญที่ถือเป็นปัญหาใหญ่มากคือความสามารถของนักวิจัย ซึ่งพบว่า นักวิจัยตั้งโจทย์ไม่เป็น อ่านหนังสือน้อย คิดแต่ว่าการสัมภาษณ์ สัมมนาคือแหล่งข้อมูล นอกจากนี้ยังมีปัญหาตลาดการวิจัย ระบบแรงจูงใจที่เงินเดือนคนเก่งต่ำ การเป็นผู้บริหาร เล่นการเมือง ที่ปรึกษาบริษัทมีรายได้และชื่อเสียงมากกว่าสร้างผลงานวิจัย”
ทั้งนี้ รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะด้วยว่า ต้องมีมาตรการลดภาระงานของอาจารย์ที่ไม่ใช่งานวิชาการ ปรับพันธกิจของมหาวิทยาลัย ควบคู่กับการปฏิรูประบบแรงจูงใจ สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละสาขา รวมทั้งปฏิรูปความรับผิดชอบของผู้บริหาร ตั้งแต่วิธีแต่งตั้ง เพื่อลดการใช้การเมืองภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย การสร้างอาณาจักรของผู้บริหาร
ส่วนประเด็นวิจัยในอนาคตนั้น ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ควรวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านไทยคดี เศรษฐกิจ สังคม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ภาษา วัฒนธรรม มานุษยวิทยาของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเดียวกับยุโรปและเกาหลีใต้ นอกจากนี้หัวข้อที่น่าสนใจ เช่น การศึกษา การจัดการน้ำ การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เป็นต้น
ชี้งานวิจัยต้องทำหน้าที่ประคับประคองสังคม
ขณะที่ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวถึงงานวิจัย 3 รูปแบบที่มีปัญหาและนักวิจัยไม่ควรทำคือ
1.Useless Research หรืองานวิจัยแบบไร้สาระ เช่น วิจัยเรื่องการใช้แผ่นใสในการจัดการเรียนการสอนของเด็ก ซึ่งเราควรทำแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ทำแล้วทำอีกออกเป็นงานวิจัยหลายฉบับ
2.Reactive Research หรืองานวิจัยแบบปฏิกิริยา เช่น กรณีปัญหาในชายแดนภาคใต้ ซึ่งตั้งโจทย์การวิจัยจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่โจทย์งานวิจัยต้องก้าวข้ามปรากฏการณ์ไปอีกขั้นหนึ่ง
และ 3.Desperate Research คือของที่น่ารู้อยู่แล้ว ไม่ได้ลึกลับอะไร เช่น เด็กชาวมุสลิมถมน้ำลาย ในช่วงเดือนรอมฎอน แต่เจ้าหน้าที่ทหารกลับไม่เข้าใจ มีอารมณ์โมโห จึงอยากให้มีการทำวิจัย ทั้งที่เรื่องเหล่านี้ควรมีการกำหนดไว้ในคู่มือการปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
ส่วนงานวิจัยที่น่าสนใจในอนาคตนั้น ศ.ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในสภาพสังคมไทยที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง มีความหลากหลายมากขึ้น งานวิจัยควรต้องทำหน้าที่ประคับประคองสังคมให้ไปในทิศทางที่เราควรจะเป็น ซึ่งงานวิจัยที่น่าจะทำคือเรื่องเกี่ยวกับความลับในสังคมไทย ความจริงในสังคมไทย ซึ่งขณะนี้มีวิธีจัดการความจริงได้อย่างแยบย่นมาก จนไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไร เมื่อความจริงที่ไม่ชอบถูกนำไปยกย่อง เอาไปซ่อน ไม่ยอมพูดถึง แต่คำถามคืองานวิจัยเช่นนี้จะได้ทุนในงานวิจัยหรือไม่
