Water cities :อยู่อย่างนี้ก็ได้

วิสัยทัศน์ของการพัฒนายุคใหม่ที่แยกส่วนระหว่างเกษตร อุตสาหกรรม มนุษย์และธรรมชาติ ทำให้ ‘น้ำ’ จากเดิมที่เคยมีประโยชน์ ต่อชีวิตมนุษย์ กลายร่างเป็น ‘ภัย’ ทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคมในพริบตา หลังตัวเลขความเสียหายจากมหาอุทกภัยปีที่ผ่านมาทะยานสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท

ต่อจากนี้ไปเราจะอยู่กับน้ำได้อย่างไร? คำถามที่ใครหลายคนอยากรู้ ในงานสถาปนิก'55 ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ ได้โชว์ให้เห็นถึงศักยภาพของสถาปัตยกรรม ไปพร้อมๆ กับการจุดประกายแนวคิดในการสร้างสรรค์ความเป็นอยู่ด้วยวิถีใหม่ หลังจากที่ สถาปนิกไทยรุ่นใหม่ 6 กลุ่มได้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพฯ นนทบุรี นครราชสีมา เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่า น้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซาก
ก่อนที่พวกเขาเหล่านี้จะนำมาเสนอเป็นแนวคิด การตั้งถิ่นฐานแบบใหม่ ภายใต้รูปแบบ “visionary solutions”
ขุดแม่น้ำน่านเพิ่ม (New Nan River)
ทีมศึกษาจากบริษัท ออฟฟิศเอที จำกัด ได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ได้ข้อมูลว่า
น่านเป็นเมืองที่เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้งและรุนแรง เช่น ในปี 2553 และปี 2554 โดยแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านตัวเมือง มีต้นกำเนิดอยู่ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ความยาวต้นกำเนิดถึงตัวเมืองน่านอยู่ที่ 205 กิโลเมตร ทำให้แม่น้ำสายนี้ต้องรับปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ 6 อำเภอตอนบนของต้นน้ำ
จุดนี้เองเป็นสาเหตุเบื้องต้นของการเกิดน้ำท่วมในตัวเมืองน่าน

ส่วนระยะเวลาในการท่วมนั้น ก็พบว่า มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กินเวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้น โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน
ฉะนั้น สิ่งที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาได้คือ ต้องทำให้น้ำไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วที่สุด
ทีมศึกษาจากบริษัทแห่งนี้ จึงมองว่า การขุดแม่น้ำน่านเพิ่มทางด้านขวาของตัวเมือง จากเหนือลงใต้ความยาวประมาณ 4,100 เมตร จะช่วยให้น้ำไหลผ่านตัวเมืองได้เร็วยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันแม่น้ำแห่งใหม่ จะทำให้เกิดเกาะขนาดย่อม กลายเป็นที่อยู่อาศัย ที่พักผ่อน ซึ่งสร้างอัตลักษณ์ใหม่ (new identity) ให้กับเมืองน่านอีกด้วย
อ่างยักษ์ เมืองสำหรับคนครึ่งล้าน
ขยับลงมาที่จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่เขตติดต่อระหว่างภาคเหนือตอนล่างกับภาคกลางตอนบน
"ปิตุพงษ์ เชาวกุล" ผู้ก่อตั้งบริษัท ซุปเปอร์มาซีน สตูดิโอ จำกัด เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งลงพื้นไปเก็บข้อมูล เขาพบการขยายพื้นที่นาเข้าไปยังพื้นที่น้ำท่วม โดยเฉพาะห้วงเวลาให้หลังที่บ้านเราอยากเป็นประเทศส่งออกข้าวติดอันดับโลก ผลที่ตาม คือ เมื่อน้ำท่วม ความเดือดร้อนเสียหายมีมาก
ขณะเดียวกัน "บึงบอระเพ็ด" แก้มลิงขนาดใหญ่ในวันนี้ถูกรุกล้ำเข้าไปทำการเกษตร ทำนา ทั้งที่จริงแล้วบริเวณดังกล่าวควรเป็นพื้นที่หวงห้าม
ข้อมูลเหล่านี้เอง จึงเป็นที่มาของโปรเจตส์ “เมืองใหม่ (Super bowl)” ที่คนสามารถอยู่กับธรรมชาติได้แบบไม่รุกล้ำ พร้อมๆ กับสร้างธรรมชาติกลับคืน
เมืองใหม่ที่เขาเสนอ จึงมีลักษณะเป็นเครื่องมือชลประทานที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ และให้ผู้คนสามารถย้ายเข้าไปอยู่อาศัยได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยการสร้างเนินดินขนาดใหญ่ ด้านตะวันออกของตัวเมืองนครสวรรค์ อยู่ระหว่างบริเวณแม่น้ำปิงและน่าน โดยเนินดินดังกล่าว มีขนาดกว้าง 4.7 กิโลเมตร ยาว 7 กิโลเมตร และสูง 150 เมตร
"ความสูงที่เราพูดถึงกันนี้มากกว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือตึกใบหยกทาวเวอร์ และมีขนาดใหญ่มาก สามารถสร้างสนามบินลอยน้ำให้เครื่องบิน แอร์บัส A380 บินขึ้น-ลงได้สบายๆ " ปิตุพงษ์ วาดฝัน พร้อมนำเสนอแนวคิดต่อว่า ในพื้นที่แห่งนี้ได้วางแผนให้สามารถกักเก็บน้ำได้ 1,500 ล้าน ลบ.ม. หรือเท่ากับ 15% ของความจุเขื่อนภูมิพล
ที่นี่จะมีปั๊มขนาดยักษ์ 3 ตัวเป็นกลไกในการดูดน้ำจากแม่น้ำในฤดูมรสุม และค่อยๆ ปล่อยกลับสู่แม่น้ำในฤดูแล้ง
ขณะเดียวกันก็เก็บรักษาระดับน้ำไว้ในเมืองใหม่บางส่วน เพื่อใช้เพาะปลูก ทำการเกษตรแบบขั้นบันได โดยใช้พื้นที่ว่างของอ่างเก็บน้ำในช่วงน้ำลด
“ขณะที่คันดินตลอดระยะทาง 20 กม.ก็ใช้ปลูกป่าเพิ่มได้ถึง 1.4 ล้าน ตร.ม.ส่วนพนังด้านนอก จะสร้างเป็นอาคาร ที่อยู่อาศัย สำหรับรองรับผู้คนราว 5 แสนคน หรือเทียบเท่ากับประชากรทั้งจังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้เมืองใหม่ยังเต็มไปด้วยสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่งที่ครบครัน”
ประการสำคัญที่สุด เขาบอกว่า ผู้คนยังได้ดูแลน้ำและป่าอย่างได้อย่างใกล้ชิด
อยุธยา เมืองน้ำโดยแท้
ไล่ลงมาถึงพื้นที่โซนปลายน้ำ อย่างพระนครศรีอยุธยา เมืองที่ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า เป็นเมืองน้ำโดยแท้
ทีมศึกษาจากบริษัท ฉมา จำกัด เล่าว่า ในอดีตคนเมืองเก่าเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์และปรับเปลี่ยนชีวิต วัฒนธรรมให้สอดคล้องกับวิถีน้ำ เช่น ปลูกข้าวฟางลอย ที่อยู่รอดได้แม้น้ำท่วมสูง 3-5 เมตร แต่เมื่อตลาดทุนนิยมเข้าไปในพื้นที่ อยุธยากลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมและคลังสินค้าขนาดใหญ่ เนื่องจากทำเลที่ตั้งใกล้กรุงเทพฯ เอื้อต่อการขนส่ง
เขาเปิดข้อมูลให้เห็นถึงสาเหตุที่น้ำท่วมปี 2554 ด้วยว่า อยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะเมืองและนิคมอุตสาหกรรมสร้างขวางทางน้ำ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมขณะนั้น ไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว เพราะผืนนาบางส่วนยังปลูกข้าวอยู่ แม้อยู่ในช่วงน้ำหลาก
“อยุธยาจำเป็นต้องมองการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน” นี่คือโจทย์ที่พวกเราต้องคิด หนึ่งในทีมศึกษาบอก พร้อมเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า อย่างแรกที่อยุธยาต้องทำคือ มองน้ำเป็นปัจจัยการผลิต (Natural Capital) ไม่ใช่ภัยพิบัติ
ขณะที่การบริหารจัดการน้ำนั้น สถาปนิกจากฉมา เห็นว่า ต้องอาศัยพื้นที่เกษตรกรรมทั้งจังหวัดเข้ามาเป็นกลไกหลัก โดยพัฒนาศักยภาพเดิมของพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง ซึ่งมีโครงข่ายชลประทานครอบคลุมกว่า 70% ให้เป็น “โครงข่ายทุ่งรับน้ำ” ในลักษณะกลไกการรวมกลุ่ม ยึดโยงกับชุมชนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มผู้ใช้น้ำ สหกรณ์การเกษตร องค์การบริหารส่วนตำบล สมาคมท่องเที่ยวจังหวัด กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น
“การบริหารมวลน้ำในพื้นที่อยุธยานั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะน้ำส่วนที่เหลือจะถูกปล่อยผ่านไปยังกรุงเทพฯ และอ่าวไทย อีกทั้งถ้ามองบริบทในอนาคต การเปิดเขตเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ตำแหน่งที่ตั้งของอยุธยา นับเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ (Logistics Hub) ที่สำคัญของ Economic corridor ในระดับภูมิภาค ฉะนั้น อยุธยาจำเป็นต้องวางบทบาทของเมืองให้สอดคล้องกับการหลั่งไหลของทุน แรงงาน สินค้า รวมถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำ” หนึ่งในทีมศึกษา บอกทิ้งท้าย

Wetropolis ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง
ด้านนายพลวัต บัวศรี สถาปนิก ผู้ก่อตั้งบริษัท เอสพลัส พี บี เอ จำกัด ซึ่งรับโจทย์ศึกษาพื้นที่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ เปิดฉากเล่าถึงแนวคิดในการสร้างที่อยู่อาศัย หรือเมืองในอนาคตของเขานั้น เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“ถ้าวันหนึ่งน้ำท่วมจริงๆ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นแนวโน้มแล้วว่า ระดับน้ำทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ปัญหาคือพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 1,000 ล้านคนจะทำอย่างไร และหากทุกคนคิดเหมือนกันหมดคือ หนีขึ้นไปอยู่บนที่สูง ความเสียหายจะยิ่งหนักหนาเพียงใด” เขาอธิบายเชิงบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการ ‘Wetropolis’เมืองที่สร้างขึ้นตามแนวคิด ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุผลว่ามนุษย์ไม่ใช่เจ้าของเดียวของโลกใบนี้
สถาปนิกรายนี้ อธิบายต่อถึงนวัตกรรมนี้ออกแบบให้เมือง ยกตัวขึ้นเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง 5 เมตร ลดขนาดอาคารให้กระชับมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ใช้ลักษณะโครงสร้างแบบการทำสะพาน เพื่อลดปริมาณตอม่อด้านล่างอาคาร น้ำจะได้ไหลผ่านได้ทั่วบริเวณ สัตว์น้ำ ตลอดจนนกสามารถบินลอดผ่านได้
ส่วนพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารแบ่งออกเป็นชั้นๆ ด้านล่างเป็นทางสัญจรหลัก มีทั้งพื้นที่ค้าขายและที่อยู่อาศัย ชั้นบนเก๋ไก๋ เป็นพื้นที่อยู่อาศัยและฟาร์มผัก ประกอบกับพื้นที่สันทนาการ โรงเรียน โรงพยาบาล ฯ
ขณะที่ด้านนอกอาคาร มีผืนป่าชายเลนและพื้นที่ผิวน้ำเปิดโล่ง สำหรับสร้าง solar farm, shellfish farm, ท่าเรือ ซึ่งธุรกิจการค้าสามารถเดินต่อไปได้ ในขณะที่คนกับสภาพแวดล้อมก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ในลักษณะแบ่งปันพื้นที่ซึ่งกันและกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นทางเลือก...
นนทบุรี...เมืองช้ำน้ำ
เชื่อมต่อกับพื้นที่เมืองกรุง นนทบุรีถือเป็นเมืองช้ำน้ำอีกหนึ่งจังหวัด นายดวงฤทธิ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด ได้หยิบยกพื้นที่ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ดขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา

เขาพบว่า ชุมชนแห่งนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมเป็นประจำทุกปี "น้ำ" จากแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองบางบัวทองหลากเข้าท่วมเกือบเต็มพื้นที่ ชุมชมริมน้ำ พื้นที่การเกษตร บ้านจัดสรรโดนกันถ้วนหน้า น้ำท่วมสูงประมาณ 2 เมตร และลดหลั่นลงตามระยะทางที่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน
สภาพดังกล่าวทำให้ สถาปนิกหนุ่มผู้นี้ นำเสนอแนวคิดที่จะป้องกันพื้นที่ ซึ่งอยู่ในริมตลิ่งให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม โดยการทำแนวคันกั้นน้ำขนานไปกับแนวทางเดินที่ใช้เข้าบ้านแต่ละหลัง เพื่อไม่ให้รบกวนทัศนียภาพและวิถีชีวิตคนริมน้ำ ขณะเดียวกันเห็นว่าควรยกระดับถนน (New road flood barrier) ให้ปลอดภัยจากระดับน้ำท่วม เพื่อใช้เป็นทางสัญจร และเป็นแนวคันกันน้ำให้กับพื้นที่ชั้นใน เช่น บ้านจัดสรร พื้นที่การเกษตร ซึ่งจะช่วยจำกัดพื้นที่รับผลกระทบจากน้ำท่วม
พฤกษฐาน เมืองรูปแบบใหม่ของโคราช
ปิดท้าย ด้วยจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ‘นครราชสีมา’
เมืองย่าโมแห่งนี้ แม้ปีก่อนจะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากนัก เพราะตั้งอยู่ในที่ดอนห่างจากที่ราบชายฝั่งและพื้นที่ลุ่มน้ำ แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมหลาก หน้าดินสไลด์
ทีมงานจากบริษัท สถาปนิก คิดดี จำกัด ซึ่งลงไปศึกษาพื้นที่ดังกล่าวระบุว่า เนื่องจากชัยภูมิของจังหวัดนครราชสีมาอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เป็นที่ป่าและที่ดอนราบสูง คนเมืองหลวงจึงสนใจเข้ามาจับจองที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยน้ำท่วมกันมาก โดยเฉพาะในอำเภอวังน้ำเขียว
การช่วงชิงที่ดิน การตัดไม้ทำลายป่า การพังทลายของหน้าดินและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านี้ จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จนอาจกลายเป็นภัยคุกคามอนาคตของจังหวัด
สิ่งที่กลุ่มสถาปนิกคิดดี เสนอจึงมีเป้าหมายที่จะสร้างแรงผลักดันให้เกิดการปลูกป่า และสร้างสรรค์การออกแบบรุ่นใหม่ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ
“พฤกษฐาน คือแนวทางการสร้างเมืองรูปแบบใหม่ ที่ใช้ต้นไม้เป็นโครงสร้างให้กับสถาปัตยกรรม โดยเราต้องปลูกป่าขึ้นมาก่อน แล้วเราจึงมองหาพื้นที่ว่างระหว่างป่ามาสร้างพื้นที่ให้กับคน เกิดเป็นสถาปัตยกรรมที่ขีดเส้นด้วยธรรมชาติ”ทีมงานบอกถึงแนวคิด ซึ่งเป็นหัวใจหลัก
พร้อมกับย้ำว่า เมื่อการขยายเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเติบโตของประชากรและเศรษฐกิจ การกลายเป็นเมืองทุกรูปแบบ จึงจำเป็นต้องนำเข้ามารวมในการวางแผนและออกแบบทั้งหมดสิ้น
เพราะสุดท้ายแล้ว เพื่อป้องกันน้ำท่วมเรายิ่งต้องการป่ามากขึ้นกว่าเดิม....
