นักวิชาการ จี้รัฐเลิกซื้อเวลา จริงใจต่อปชช.เดินหน้ากม.ภาษีที่ดินฯ

อ.เศรษฐศาสตร์ มธ. ระบุ จัดเก็บภาษีที่ดินรายจว. ต้องมีวิธีลดความเหลื่อมล้ำ เสนอเก็บอัตราลดหลั่น พื้นที่จ่ายก่อน-หลัง พร้อมมองปรับเพิ่มเพดานภาษีเรื่องใหญ่ รื้อเยอะใช้เวลานาน แก้ไขภายหลังได้ คลอดภาษีที่ดินให้ได้ สำคัญสุด
จากกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นชอบให้มีการเดินหน้าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่อีกครั้ง ภายหลังที่ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาได้ตกไป เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ให้การยืนยัน
ขณะที่ การร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ใหม่ครั้งนี้ มีการระบุว่า ให้นำร่างเก่ามาปรับแก้และใส่วิธีการใหม่เข้าไป เช่น การกำหนดให้เก็บภาษีได้ในบางพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ โดยไม่ต้องประกาศใช้ทั้งประเทศ และจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาว่าพื้นที่ใดมีความพร้อมแก่การจัดเก็บภาษีก่อน
ขณะเดียวกันจะให้มีการเพิ่มเพดานภาษี จากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้จัดเก็บพื้นที่การเกษตรไม่เกิน 0.05% อัตราที่พักอาศัยไม่เกิน 0.1% และที่ดินว่างเปล่า 0.5% ของราคาประเมินให้มีอัตราสูงขึ้น
ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวคิดการร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินดังกล่าวว่า การที่จะให้จัดเก็บภาษี โดยเลือกใช้กับจังหวัดที่พร้อมก่อนนั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า อาจทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างผู้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เสีย แต่ถ้ารัฐบาลระบุว่า ไม่สามารถเก็บภาษีนี้ได้พร้อมทีเดียวทั้งประเทศ การเก็บภาษีจึงต้องมีวิธีการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างจังหวัดด้วย
“หากรัฐบาลวางกรอบว่าจะเก็บภาษีพร้อมกันได้ทั่วประเทศภายในระยะเวลา 3 ปี ก็ควรจะดำเนินการจัดเก็บแบ่งออกเป็น 3 ชุดคือ กลุ่มจังหวัดชุดแรกที่มีความพร้อม มีการประเมินราคาไว้เป็นที่เรียบร้อย ปีแรกควรเก็บภาษีในอัตรา 1 ใน 3 ของเงินภาษีทั้งหมด เช่นเดียวกับปีที่สองและปีที่สาม ซึ่งเมื่อครบ 3 ปีก็จะสามารถเก็บภาษีได้เต็มจำนวน ส่วนจังหวัดกลุ่มที่สอง ซึ่งถูกจัดเก็บช้ากว่ากลุ่มแรกหนึ่งปีถัดไปนั้น อัตราภาษีควรอยู่ที่กึ่งหนึ่ง และเมื่อครบ 2 ปีก็จะเก็บภาษีได้เต็มจำนวนเช่นกัน สุดท้ายคือกลุ่มจังหวัดที่สาม ซึ่งจะเริ่มจัดเก็บภาษีภายหลังบังคับใช้กฎหมายไปแล้ว 3 ปี การเก็บภาษีจึงควรเก็บเต็มจำนวน โดยการเก็บภาษีในลักษณะลดหลั่นเช่นนี้ จะทำให้ไม่เกิดความแตกต่างมากนัก จังหวัดที่โดนเก็บก่อนมีเวลาในการปรับตัว”
เมื่อถามถึงการพิจารณาความพร้อมของจังหวัด ที่ควรถูกจัดเก็บก่อน ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าวว่า จำนวนที่ดินของไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 30 ล้านแปลง ซึ่งในปี 2553 กรมธนารักษ์ระบุว่า สามารถประเมินราคาที่ดินไปได้แล้ว 5 ล้านแปลง แต่ขณะนี้ไม่ทราบว่ามีความคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานราชการต้องออกให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในแผนเดิมนั้น จะมีการจัดเก็บภาษีที่ดินในปี 2556 จึงคาดว่าระบบข้อมูลเหล่านี้น่าจะสมบูรณ์พอสมควร
ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าวถึงพื้นที่กรุงเทพฯ มีการประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้ครบถ้วนเป็นรายแปลงอยู่แล้ว แต่การลงรายละเอียด ประเมินรายแปลงในทุกจังหวัดเป็นเรื่องยาก เพราะกำลังคนของกรมธนารักษ์มีน้อย แต่อย่างไรก็ตาม หากจะจัดเก็บภาษีจริง ไม่จำเป็นต้องประเมินราคาที่ดินรายแปลงก็สามารถเก็บภาษีได้ โดยใช้ราคาประเมินเป็นรายบล็อกไปก่อน
ส่วนที่เพิ่มอัตราภาษี เนื่องจากของกฎหมายเดิม มีการกำหนดอัตราการจัดเก็บต่ำไปนั้น ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าอัตราเดิมต่ำไปจริง แต่เมื่อร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินผ่านการปรับปรุงแก้ไข ประชาพิจารณ์มาหลายรอบแล้ว น่าจะสมบูรณ์พอสมควร ดังนั้น ควรจะใช้ร่างเดิมที่่ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อปี 2554 ต่อไป เพราะการปรับแก้เรื่องเพดานภาษี อาจต้องกลับไปทำประชาพิจารณ์กันใหม่และต้องใช้เวลาอีกเป็นปี จากนั้นต้องผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรีกว่าจะไปถึงสภาก็อาจจะยุบสภาไปอีกก็เป็นได้ สุดท้ายก็เข้าสู่วังวนเดิมๆ
“การเพิ่มเพดานอัตราภาษีสามารถไปแก้ได้ในภายหลัง ประเด็นคือจะทำอย่างไรให้หลักการใหญ่ๆ ตัว พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านออกมาได้ก่อน ถ้าไปรื้อใหม่เยอะๆ ก็ยิ่งต้องใช้เวลา”อาจารย์เศรษฐศาสตร์ กล่าว และว่า ส่วนร่างเดิมที่ตนติดใจและเห็นควรที่ต้องมีการแก้ไขมากกว่า คือเรื่องเกณฑ์และวิธีการคำนวณการลดหย่อนภาษีที่ระบุให้เลือกระหว่างขนาด หรือมูลค่า ใครได้ประโยชน์อย่างใดมากกว่าก็ให้เลือกเช่นนั้น ซึ่งตนเห็นว่าไม่ควรใช้ขนาดเป็นตัวกำหนด เพราะฐานภาษีคำนวณจากมูลค่า ที่ดินขนาด 50 ตารางวา แต่ถ้าเป็นที่ดินแถวสีลมก็มีมูลค่าสูง
สำหรับการปรับแก้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ นั้น ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าวว่า สิ่งที่ควรจะดำเนินการคือ การทำให้กระบวนการต่างๆ เดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ทำให้กฎหมายแล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจต่อประชาชน ไม่ใช่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วก็ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ
เมื่อถามถึงการตั้งธนาคารที่ดิน ซึ่งอาจแยกออกไปเป็น พ.ร.บ.อีกฉบับนั้น ผศ.ดร.ดวงมณี กล่าว การตั้งธนาคารที่ดินนั้น ไม่ได้ยึดโยงกับภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างโดยตรง แต่เนื่องจากภาคประชาชน เสนอของบประมาณ 2% จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเข้าสมทบธนาคารที่ดิน ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวน้อยมาก แทบไม่มีผลอะไรต่อการตั้งธนาคารที่ดินด้วยซ้ำไป เพียงแต่เชื่อมโยงให้เห็นว่า คนที่จ่ายภาษีที่ดินคือ คนที่มีกำลัง ที่มีทรัพย์ ฉะนั้นควรจะทำประโยชน์ ทำอะไรให้กับคนที่ไร้ที่ดินด้วย นั่นคือดึงงบประมาณมาส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ เมื่อ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ยึดโยงกับธนาคารที่ดิน เป็นคนละเรื่องกัน การตั้งธนาคารที่ดินจึงอยู่ที่ความจริงใจของรัฐบาลอีกเช่นกัน
