คอป. เปิดตัวเลขเยียวยาเหยื่อเหตุการณ์การเมืองไม่ถึง 7.7 ล้าน จี้ ปคอป.แจง

คอป. แนวทาง-หลักเกณฑ์ช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรง ระบุเงินชดเชยเยียวยาผู้ตายต้องได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 3.24 ล้าน บวกค่าทำศพ 4 หมื่น-ทุนการศึกษาทายาท ย้ำ ต้องเยียวยาทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ทั้งตัวเงินและเชิงสัญลักษณ์-ชุมชน
วันที่ 15 พฤษภาคม คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จัดเวทีเสวนาเรื่อง "การพิจารณาร่างแนวทางและหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง" โดยนายพิพัฒน์ คงสกนธ์ หนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการกำหนดและหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ กล่าวถึงหลักเกณฑ์การเยียวยาที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยนั้น ต้องตั้งหลักจากความเสียหาย และเยียวยาเพื่อมุ่งให้เกิดผลทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งในขณะนี้การเยียวยายังเป็นแบบทั่วไป
“ขณะที่การเยียวยาการเมืองนั้น เบื้องต้นไม่ควรต้องมีการพิสูจน์ว่าใครถูกหรือผิด อีกทั้งควรต้องมีการจัดการหน่วยงาน หรือองค์กรขึ้นมาเฉพาะ ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นคณะกรรมการช่วยเหลือเยียวยา มีหน้าเยียวยาเป็นการเฉพาะ มีศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาประจำเขต/อำเภอด้วย นอกจากนี้ในเรื่องของการเงิน ก็ต้องมีการแยกระบบการบริหารโดยการจัดตั้งคณะกรรมการกองทุนช่วยเหลือเยียวยาขึ้น เพื่อดูแลเรื่องนี้”
สำหรับการกำหนดผู้มีสิทธิ์ได้รับการเยียวยานั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การช่วยเหลือเยียวยาต้องเริ่มต้นดูที่ความเสียหายก่อนว่า ได้รับความเสียหายอย่างไรและช่วงไหน ซึ่งต้องมุ่งในเรื่องการเยียวยารักษาทั้งร่างกายและจิตใจ คำนึงถึงผู้ดำเนินการแทนผู้เสียหาย หรือทายาท หรือบุพการี ให้ได้รับสิทธิ์ตรงนี้ด้วย ในฐานะผู้เสียหายทางอ้อม
ส่วนการเยียวยาความเสียหายในกรณีถึงแก่ชีวิต รวมไปถึงเป็นกรณีบุคคลสูญหาย หรือศาลได้มีคำสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญ นั้น ผลการศึกษา ของคอป. เสนอว่า ต้องได้รับเงินช่วยเหลือในการตายรายละ 3,240,000 บาท โดยคิดตามหลักเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ 300 บาทเป็นหลัก จากนั้นคูณด้วยจำนวนวันต่อเดือนคือ 30 วัน แล้วจึงคูณด้วยจำนวนเดือนต่อปี คือ 12 เดือน และสมมติอายุงานที่เหลือของผู้เสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 30 ปี ทั้งนี้จะต้องไม่เกินเพดานของเงินเดือนข้าราชการพลเรือน
นอกจากนี้ในส่วนของเงินช่วยเหลือค่าจัดทำศพ ใช้ตามหลัก พ.ร.บ.ประกันสังคม อยู่ที่รายละ 40,000 บาท
และในส่วนของเงินทุนการศึกษาในการช่วยเหลือแก่บุตรนั้น ดังนี้ อนุบาล/ประถมศึกษาจำนวน 6,000 บาท/คน/ปี, กศน. จำนวน 5,000 บาท/คน/ปี, ระดับ ปวช./ชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 10,000 บาท/คน/ปี, ปวส/ชั้นอุดมศึกษา จำนวน 20,000 บาท/คน/ปี กำหนดจ่ายเป็นภาคการศึกษา รวมถึงเงินค่าขาดไร้อุปการะ กำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
“สำหรับเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายสาหัสและทุพพลภาพนั้น ให้จ่ายตามจริง และค่าขาดรายได้ระหว่างบาดเจ็บ ให้จ่ายตามจริงเป็นรายเดือน โดยไม่เกินค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงเงินค่าฟื้นฟูก็ให้จ่ายตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน”
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับค่าความเสียหายต่อเสรีภาพ ในการถูกควบคุมตัว หรือกักขังนั้น ให้ชดเชยค่าเสียหาย มีเป็นฐานเงิน 500 บาท/วัน (โดยคิดจากเงินค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย อีก 200 บาท) รวมถึงในส่วนของผู้เสียหายทางทรัพย์สินที่เกิดจากเพลิงไหม้ ต้องพิจารณาความเสียหายในเชิงรูปธรรม โดยให้ใช้สิทธิเรียกร้องจากประกันภัยเสียก่อน นอกจากนั้นในส่วนที่ขาดให้รัฐจ่ายตามจริง
“การเยียวยาที่เป็นตัวเงินหรือมาตรการเยียวยาในเชิงสัญลักษณ์ ได้แก่ มาตรการที่รัฐดำเนินการเยียวยาเพื่อฟื้นฟูศักดิ์ศรีของผู้ได้รับความเสียหาย เช่น การรับรองการตาย,การลบประวัติอาชญากรรม หรือการตั้งชื่อถนนหรือสิ่งอำนวยความสะดวก สร้างอนุสาวรีย์หรือนุสรณ์สถาน , การกำหนดวันรำลึก เป็นต้น” นายพิพัฒน์ กล่าว และว่า นอกจากนี้ต้องมีมาตรการเยียวยาเพื่อให้ชุมชนได้รับการบำบัดรักษาอย่างเป็นระบบด้วย ทั้งด้านการแพทย์ กฎหมาย เศรษฐกิจและสังคมด้วย
ด้านศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ กรรมการ คอป. ในฐานะประธาน อนุกรรมการเยียวยา และป้องกันความรุนแรง กล่าวว่า ที่ผ่านมาบทบาทของ คอป.ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเยียวยาในเชิงของตัวเงินหรือกระบวนการใดๆ โดยคอป.จะทำหน้าที่ในการรับทราบปัญหา และตั้งข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามความก้าวหน้าว่ามีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งในรายงานฉบับที่ 2 คอป. ที่เสนอให้รัฐบาลมีมาตรการชดเชยเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงแก่ทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม โดยเชื่อว่า จะเป็นทางออกในการยุติข้อขัดแย้งและสร้างความปรองดองในชาติได้
"สำหรับ (ร่าง) ระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรง ของคอป.นี้ ถือเป็นร่างตามหลักวิชาการและหลักปฏิบัติของต่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายไทย เพื่อหาแนวทางหรือเกณฑ์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยหลังจากนี้มีการปรับปรุงน่างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดจะนำเสนอรัฐบาล เพื่อเร่งชดเชยทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะการขอให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ชี้แจงเรื่องเงินเยียวยาเพื่อคลายปมข้อสงสัยของสังคมเกี่ยวกับมาตรการในการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาที่เป็นจำนวนเงินที่สูง และแตกต่างจากแนวทางของ คอป.ที่ได้นำเสนอไปแล้ว"
ศ.นพ.รณชัย กล่าวด้วยว่า อยากให้ฝ่ายทีเกี่ยวข้องเข้ามาดูการเสียหายจากทรัพย์สินจากเหตุการณ์วางเพลิงและไฟไหม้ด้วย เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินได้ขอใช้สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย แต่ไม่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมจากบริษัทประกันได้ เพราะติดประเด็นข้อหาการก่อการร้าย
จากนั้นในเวทีเสวนาได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้วิพากย์ร่างระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการเยียวยาความเสียหายฯ ซึ่ง นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า ยุวธรรม นายทหารซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 2553 ได้ตั้งข้อสังเกตว่า โดยมองว่า ร่างระเบียบชดเชยเยียวยาฉบับนี้จะสามารถยับยั้งชั่งใจคนไมให้กระทำผิดได้อีกจริงหรือไม่ เพราะในร่างนี้มีลักษณะเป็นการส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาได้
“ดังนั้นจึงต้องการทราบขั้นตอนในการค้นหาความจริงต่อไป หากพบว่า ผู้ที่ได้รับเงินชดเชยนั้นมีความผิดทางอาญา คนเหล่านี้จะได้รับเงินชดเชยอยู่หรือไม่ และจะมีวิธีการดำเนินการในส่วนนี้อย่างไร และหากไม่มีมาตรการในการเอาผิดหรือการดำเนินการได้ ดิฉัน ก็รู้สึกว่าเป็นความเจ็บปวดของผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง”
คอป.เสนอยกเลิกกฎหมายก่อการร้าย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย ดร.คณิต ณ นคร ประธาน คอป. นายมานิต สุขสมจิตร กรรมการ คอป. แถลงถึงข้อเสนอแนะล่าสุดของ คอป.เกี่ยวกับกฎหมายการก่อการร้าย ว่า ทางคอป.เห็นว่า กฎหมายก่อการร้ายนั้นเป็นกฎหมายที่เกิดมาไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย เนื่องจากออกโดยพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ซึ่งจะออกเฉพาะสิ่งที่สำคัญเท่านั้น
“การออก พ.ร.ก.ในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง และไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แม้ประชาธิปไตยจะปกครองด้วยเสียงข้างมากก็จริงอยู่ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเคารพเสียงข้างน้อยด้วย ซึ่งกฎหมายสำคัญลักษณะนี้ หากได้เสนอรัฐสภาเป็น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แล้วก้จะมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
ทั้งนี้ ดร.คณิต กล่าวด้วยว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน ผิดหลักประกันในกฎหมายอาญา รวมทั้งในรัฐธรรมนูญด้วย นอกจากนี้การแก้ไขกฎหมายนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง สามารถเทียบได้ว่าเป็นกฎหมายอั้งยี่ ที่ลงโทษการตระเตรียมกระทำความผิด ไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งกฎหมายก่อการร้ายก็เช่นเดียวกัน
“เนื้อหาของกฎหมายก่อการร้าย ผิดหลักกฎหมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการยกเลิกอาจมีผลไปถึงการเสียหายที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ที่ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องก่อการร้ายเกี่ยวข้องอยู่ ก็หวังใจว่า หากรัฐบาลและทุกฝ่ายในทางการเมืองพยายามช่วยแก้ปัญหาก็เท่ากับช่วยแก้ปัญหาในทางเยียวยาด้วย” ประธาน คอป. กล่าว และว่า ความผิดฐานนี้อย่างน้อยควรต้องเลิกไปช่วงหนึ่ง ส่วนเราจะจำเป็นต้องนี้กฎหมายนี้หรือไม่ในอนาคตก็ต้องว่ากันต่อไป ไม่ใช่ให้กฎหมายนี้ทำร้ายประชาชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.ใจป้ำเยียวยาผู้เสียชีวิตเหตุขัดแย้งการเมือง 7.7 ล้าน/ราย
