คอป.เร่งค้นหาความจริง สำรวจคำบอกเล่าเหยื่อเหตุรุนแรงกว่า 3 พันราย

คอป. ลง 6 พื้นที่ เก็บข้อมูลคำบอกเล่าผู้ได้รับผลกระทบ ก่อนประมวลเป็นข้อเสนอ ด้านนักวิจัย มธ. เผยพบข้อมูลใหม่ ระบุการเยียวยายังไม่ครอบคลุม ชี้ต้องปรับหลักเกณฑ์ เบื่องต้นพบเหตุความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากความไม่เป็นธรรม
วันที่ 22 พฤษภาคม คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จัดการประชุมเรื่อง "การสำรวจและบันทึกคำบอกเล่าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในประเทศไทย เพื่อการเยียวยาและการปรองดองทางสังคมตามแนวทาง คอป. (Statement Taking)" โดยรศ.ดร.เดชา สังขวรรณ กรรมการ คอป. ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า เพื่อการสำรวจข้อมูลพื้นฐานข้อเท็จจริง ผลกระทบและข้อเสนอแนะ รวมถึงบันทึกคำบอกเล่าผู้ทีได้รับผลกระทบของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และพยานในเหตุการณ์ช่วงพฤษภาคมปี 2553 ตามแนวยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะบันทึกเฉพาะเรื่องที่เห็นว่า เป็นความจริงเท่านั้น ไม่รวมในส่วนของความเห็น
ทั้งนี้ โครงการสำรวจและบันทึกคำบอกเล่าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในประเทศไทย เพื่อการเยียวยาและการปรองดองทางสังคมตามแนวทาง คอป. (Statement Taking)" นั้นได้มีการเก็บข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรง นั้น คอป.จัดทำทั้งในพื้นที่การชุมนุมหลักในกรุงเทพมหานครและพื้นที่การชุมนุมในส่วนของภูมิภาค จำนวนประมาณ 3,000 ราย จากฐานข้อมูลผู้ได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาตามโรงพยาบาลในช่วงเกิดเหตุการณ์ประมาณ 2 พันกว่าราย รวมกับผู้ที่คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
โดยวิธีการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งครอบคลุมทุกฝ่าย ได้แก่ ญาติผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้ถูกดำเนินคดี ผู้ที่เสียทรัพย์สินเสียหาย ผู้ประกอบการในพื้นที่ที่มีการชุมนุม เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ชุมนุม และอื่นโดยมีการจัดแบ่งพื้นที่ในการเก็บข้อมูลตามเหตุการณ์ความรุนแรง 6 พื้นที่ ดังนี้
1.กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในระหว่างเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 ในพื้นที่สำคัญ 4 พื้นที่ ได้แก่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และพื้นที่ใกล้เคียง, บริเวณสี่แยกราชประสงค์ สยามสแควร์ ถนนพระราม 1, ถนนสีลม ถนนพระรามที่ 4 ตลอดจนชุมชนบ่อนไก่ ชุมชนซอยพระเจน, บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สามเหลื่ยมดินแดง ซอยรางน้ำ ถนนราชปรารภ ตลอดจนถนนวิภาวดีรังสิต รวมถึงอนุสรณ์สถาน และบริเวณกองพลทหารราบที่ 11
2.พื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนครปฐม
3.พื้นที่ภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี ขอนแก่ มุกดาหาร หนองบัวลำภู มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร และกาฬสินธุ์
4.พื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ชัยภูมิ นครราชสีมา และศรีษะเกษ
5.พื้นที่ภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง
6.พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดน่านและนครสวรรค์
“การสร้างความปรองดอง จะต้องอาศัยการเปิดเผยความจริงและรากเหง้าของปัญหา โดยมีการฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการอำนวยความยุติธรรมแก่เหยื่อ ซึ่งการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต้องเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เหล่านี้ล้วนแต่ต้องอาศัย เวลา และความอดทนซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งของการปรองดอง” รศ.ดร.เดชา กล่าว และว่า ที่ผ่านมาได้เก็บข้อมูลไปบางส่วนแล้วประมาณ 1 พันกว่าราย ซึ่งทั้งนี้จะยุติการลงพื้นที่สำรวจ วันที่ 16 มิถุนายน จากนั้นจะนำข้อมูลไปประมวล เพื่อทำเป็นข้อเสนอต่อไป
ด้าน อ.ปฐมฤกษ์ เกตุทัต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ทำวิจัย กล่าวถึงการลงพื้นที่ทำการสำรวจในเบื้องต้นพบ พบว่าในเรื่องการเยียวยา ยังมีประเด็นที่ต้องแก้ไขกันอีกพอสมควร เนื่องจากกรสำรวจพบว่ายังมีผู้ที่ตกสำรวจ เช่น ไม่มีทะเบียนสมรส ฉะนั้นต้องมีการแก้ไขหลักเกณฑ์ในการเยียวยา เพื่อให้เกิดความครอบคลุม
“ปัญหาที่เรียนรู้นำไปสู่รากเหง้าว่าจริงๆแล้ว อาจจะมาจากเรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมไทย เช่น ปัญหาเรื่องสองมาตรฐานและกรไม่เป็นธรรม เหล่านี้ต้องนำไปสู่การปฏิรูป เพื่อให้แก้ไขความไม่สบายใจ ความคับข้องใจ และหากไม่มีการปฏิรูปปัญหาก็ซ้ำแล้วซ้ำอีก และความรุนแรงก็จะกลับมาอีก ต้องมีกฎกติกา ต้องมี พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่ชัดเจน ในการเรื่องของการชุมนุม เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียง พระราชกำหนดฉุกเฉินเท่านั้น ทั้งนี้ รวมถึงเรื่องของการเยียวยาควรต้องทำเป็นกฎหมาย พ.ร.บ.ให้ชัดเจนด้วย”
อ.ปฐมฤกษ์ กล่าวด้วยว่า การสำรวจ บันทึกคำบอกเล่านี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อบันทึกในเชิงประวัติศาสตร์ อันจะนำไปใช้เป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้ เข้าใจ และเป็นประสบการณ์การในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง วิกฤตความขัดแย้งเพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีกในอนาคต
